
ข้อคิดลงทุน ไมเคิล เบอร์รี่ ผู้สวนกระแสในการลงทุน
- LittleHydrangea
- 29 views
ข้อคิดลงทุน ไมเคิล เบอร์รี่ เป็นนักลงทุนที่เน้นลงทุน ในรูปแบบของการสวนกระแส และไม่มองตลาดส่วนใหญ่ เป็นหลักทำให้การลงทุน ที่ต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง และสามารถมองหลักการลงทุน หรือการลงทุนในหุ้นได้อย่างเข้าใจถ่องแท้
ไมเคิล เจมส์ เบอร์รี่ นักลงทุนและผู้จัดการกองทุนคนหนึ่ง ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลสำคัญทางการเงิน จากเหตุการณ์วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 โดยไมเคิลนั้น ได้เริ่มเปิดตัว Scion Capital ในปี 2000 โดยเริ่มจากการขายชอร์ตหุ้น และจากการใช้กลยุทธ์ แบบการขายชอร์ตหุ้น
ทำให้กองทุนของไมเคิล นั้นสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนสูงถึง 55 % ในปี 2001 ซึ่งได้สร้างชื่อเสียงให้เขาเป็นอย่างมาก จนได้กลายเป็นภาพยนตร์ The Big Short โดยไมเคิลได้กล่าวว่า ความสำเร็จของเขานั้น มาจากการคาดการณ์ ที่เขาอ้างอิงมาจากตัวผู้ให้กู้นั่นเอง
ที่มา: Who is Michael Burry? [1]
หลักการสำคัญ ในการมองมูลค่าหุ้น ให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ของการลงทุนในตลาด จะเป็นการมองหาส่วนของความปลอดภัย ที่จะเป็นเหมือนกับพื้นฐาน ของการลงทุน ซึ่งทุก ๆ การลงทุนนั้น ก็จะต้องมีส่วนที่มีความปลอดภัย ในการลงทุนอยู่เสมอ
ซึ่งนี่ถือเป็นหลักการ Margin of Safety ซึ่งเป็นการมองหาส่วนของความปลอดภัย ที่อยู่ในการลงทุน แล้วยังมีการมองถึงปัจจัยพื้นฐานทางด้านของการเงิน หรือทางด้านการบริหาร ของบริษัทที่เราเลือก ซึ่งเป็นปัจจัยในการที่จะมองทุนที่มีมูลค่าต่ำ แต่ยังมีโอกาสเติบโตในอนาคต
ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ไมเคิลได้ทำการศึกษา และนำแนวคิดในการ ลงทุนแบบเบนจามิน เกรแฮม และได้มองดูบริษัท ที่ตนเองไปลงทุน ก่อนที่จะไปลงทุนเสมอ
ที่มา: รู้จัก ไมเคิล เบอร์รี The Big Short ผู้ได้กลิ่น วิกฤติก่อนใคร [2]
เพราะไมเคิลได้ทำการมองตลาดแล้วว่า ในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์นั้น จะมีการที่คนผิดชำระหนี้สูง และทำให้ประเทศอเมริกา ขาดดุลทางด้านของการเงิน ซึ่งจะทำให้การเข้าซื้อบริษัท ที่มีการลงทุนสูง และจะมีการจ่ายค่าประกันในการซื้อหุ้นสูง ซึ่งในตอนนั้น เขาเชื่อว่าถ้าหากการมองตามตลาดของเขาเป็นจริง
ตลาดนั้นจะมีการขาดชำระหนี้ และขาดทุนทางการเงินสูง ทำให้ตลาดหุ้นนั้น อาจจะล้มละลาย ด้วยเหตุนี้เองไมเคิล จึงได้รับเงินประกันมหาศาล โดยที่คนทั่วไปไม่ได้มองถึงจุดนี้เลยนั่นเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นผลจากการวิเคราะห์ และการหาเครื่องมือ
ที่สามารถใช้งาน ในการมองตลาด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถมองตลาด ได้ขาดกว่าคนปกตินั่นเอง
ที่มา: ต้นเหตุที่แท้จริงของ วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ [3]
ไมเคิลเบอรี่นั้น มีวิธีการในการรับแรงกดดัน จากผู้ลงทุนท่านอื่น ที่มองว่าการลงทุนในแบบของเขา ที่สวนกระแสนั้น คือการนำเงินไปทิ้งเปล่า ๆ หรือการลงทุนกับหุ้น หรือการลงทุนกับสินทรัพย์ ที่ไม่ได้สร้างกำไรให้ตัวเองอยู่เสมอ แต่ไมเคิลก็ยังมีความตั้งใจ และความแน่วแน่
ในการยึดมั่นหลักการของตนเอง ในการลงทุนแบบสวนกระแส ซึ่งคนทั่วไป นั้นเลือกที่จะไม่ทำแบบนี้ แต่เขาเลือกที่จะทำ เพียงเพราะว่าเขามองเห็นถึงหลักการสำคัญ หรือปัจจัย ที่มีพื้นฐาน ที่ส่งผลทำให้หุ้น หรือการลงทุนนั้น สามารถเติบโตได้ และแนวคิดนี้เอง
จึงทำให้ไมเคิล สามารถสร้างผลกำไร หรือผลตอบแทน ที่สูงกว่าผู้ลงทุนท่านอื่น ๆ และทำให้ผู้ลงทุน หันกลับมามอง ถึงแนวคิดของเขา ว่าสามารถใช้ได้จริง และสามารถทำตามได้ โดยต้องศึกษาอย่างเข้าใจ
การลงทุนในหุ้นเล็ก ๆ นั้น จะสามารถสร้างกับผลกำไรที่แท้จริง ให้กับตัวเขาได้ ซึ่งการลงทุนกับหุ้นเล็ก ๆ เป็นการลงทุน ที่มักจะถูกคนรอบข้าง ในตลาดหุ้น นั้นมองข้าม ซึ่งในหุ้นตัวนั้น ๆ มักจะมีปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ ที่แฝงอยู่ข้างใน ซึ่งมีโอกาสที่จะเติบโตได้ในอนาคต
ทำให้ไมเคิล มองเห็นถึงจุดนี้ และสามารถเลือกลงทุนกับหุ้นเล็ก ๆ และมีการกระจายความเสี่ยง ที่ดีในการลงทุน ซึ่งทำให้ไมเคิลนั้น มีหลักประกัน ในการลงทุน ว่าเราจะไม่ขาดทุน และสามารถได้กำไรเพิ่มมากขึ้น จากการลงทุนหลาย ๆ ตัว
ทำให้เขาได้การศึกษาหุ้น และตลาดอย่างเข้าใจ พร้อมทั้งทำให้มองเห็นถึงโอกาส ในการลงทุนที่มากขึ้น และสามารถสร้างผลกำไร ให้กับตัวของเขาเอง โดยที่ไม่ต้องลงทุนมาก แถมยังได้ผลตอบแทนที่สูงอีกด้วย
เพราะไมเคิลเคยลงทุนตามกระแส แล้วเกิดข้อผิดพลาดในการลงทุน ไมเคิลจึงได้ทำตามแนวคิดของตนเอง หรือหลักการสวนกระแส เพื่อลงทุนตามข้อมูลข่าวสาร และการวิเคราะห์ของตนเอง อย่างที่ไมเคิลได้เคยทำนาย ใน วิกฤตสินเชื่อ ซับไพรม์ ที่เกิดขึ้น เมื่อปี 2008
สรุป ข้อคิดในการลงทุนแบบไมเคิล คือ การมองบนมูลค่าที่แท้จริง ของหุ้นที่มีราคาต่ำ และมีการกระจายความเสี่ยงที่ดี เพื่อเป็นการป้องกัน ความผันผวนของตลาดที่สูง และเป็นหลักประกัน ว่าจะสามารถมีผลกำไร ที่สำเร็จได้ตามเป้าหมาย ในการลงทุน
ไมเคิลมองความเสี่ยง ที่เกิดขึ้นว่าเป็นบทเรียน ในการปรับปรุงกลยุทธ์ ในการลงทุนของตัวเอง และสามารถทำให้ตัวเอง ได้กลับมาคิดทบทวนว่า ตัวเขานั้น มีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง อีกทั้งยังช่วยในการลดความเชื่อมั่น ในตัวเองอีกด้วย ว่าตัวเขานั้นสามารถเข้าใจในทุกอย่าง
ไมเคิลได้เลือกลงทุน กับหุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ซึ่งทำให้ตัวเขานั้นขาดทุนไปไม่น้อย ซึ่งจากตรงนี้ เขาได้คิดว่าความผิดพลาดของเขา อยู่ที่เรื่องของการศึกษา ที่ไม่ดีพอ ทำให้ช่วงหลัง เขาเริ่มมีการปรับปรุง ในเรื่องของการศึกษา ก่อนการลงทุน และมีความรอบคอบในการลงทุนมากขึ้น