
จับจังหวะ ลงทุนในหุ้น สร้างความมั่งคั่ง แบบมือฉมัง
- LittleHydrangea
- 12 views
จับจังหวะ ลงทุนในหุ้น เป็นการลงทุนในหุ้น ในรูปแบบที่มุ่งเน้นการรอคอย หรือการจับจังหวะในการซื้อ และการขายหุ้น เมื่อราคาอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ถือเป็นปัจจัยหนึ่งในการลงทุนหุ้น แบบมีกลยุทธ์ ที่ผู้เชี่ยวชาญ หรือนักลงทุนมือฉมังชอบใช้
การจับจังหวะหุ้น เป็นการจับจังหวะ ในการซื้อ หรือขายหุ้น ซึ่งในการซื้อ หรือขายหุ้นนั้น ๆ จะมีการซื้อ และการขายแตกต่างกันไป ตามความเหมาะสมของหุ้นแต่ละตัว เพื่อให้ได้รับผลกำไรในระยะสั้นมากที่สุด โดยจะแตกต่างกับ การลงทุน ในหุ้น แบบระยะยาว เพราะการลงทุนระยะยาว จะเป็นการถือหุ้น
หลายปี แม้จะมีราคาที่ต่ำลง หรือขาดทุน ก็จะยังไม่ขาย เพราะนักลงทุนในหุ้น แบบระยะยาว จะรอรับเงินปันผล และค่อยขายออก เมื่อถึงเวลา ส่วนการจับจังหวะหุ้นนั้น จะเป็นการลงทุนระยะสั้น ที่มีการซื้อขายกันอย่างรวดเร็ว โดยการจับจังหวะหุ้น จะเป็นการขายที่รอเวลา จากการคาดคะเน ราคาของหุ้น
ในอนาคต โดยจะมีการติดตามราคาของตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะไม่พลาดจังหวะ ในการซื้อและการขาย ซึ่งนักลงทุนจะต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ ในการซื้อและการขาย เพราะการจับจังหวะหุ้น ทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นอย่างมาก ซึ่งการลงทุนรูปแบบนี้ จะไม่เหมาะกับผู้ลงทุนมือใหม่
ที่มา: จับจังหวะลงทุนในกองทุนรวม ต้องรู้อะไรบ้าง [1]
เหตุผลที่การจับจังหวะในการลงทุนนั้น ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ เพราะการที่จะจับจังหวะการลงทุน เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ยาก หากพลาดไปเพียงจุดเดียว ก็อาจจะทำให้ขาดทุนได้ ซึ่งการรู้จังหวะในการซื้อขาย ว่าควรซื้อ หรือควรขายตอนไหน นอกจากจะมีความรู้แล้ว ยังต้องคอยอาศัยประสบการณ์อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ การลงทุนในรูปแบบการจับจังหวะ ในการซื้อหรือขายหุ้น จึงไม่เหมาะสำหรับมือใหม่นั่นเอง และที่สำคัญ การจับจังหวะในการลงทุนนั้น ยังมีความเสี่ยง ในเรื่องของความผันผวนของราคา และเรื่องของค่าใช้จ่าย ที่จะเกิดขึ้นเมื่อซื้อหรือขายหุ้นบ่อย ๆ เพราะหากมือใหม่ไม่มีความรู้ และความเข้าใจ
ในจังหวะของการขาย จากการขาดประสบการณ์ และการไม่มีความรู้ ความเข้าใจในหุ้นตัวนั้น ๆ ที่ดีพอ อาจส่งผลเสียให้กับตัวผู้ลงทุน ในการขายไม่ได้ราคาที่คาดไว้ หรือขาดทุนได้ ในระยะเวลาอันสั้น เพราะความประมาท หรือความผิดพลาดในการวิเคราะห์นั่นเอง
ที่มา: Does Market Timing Work? [2]
สำหรับทัศนคติ ในการจับจังหวะการลงทุน ผู้ลงทุนนั้นควรมีความรอบคอบ มีสติมีการย้ำคิดย้ำทำ มีการคาดการณ์อนาคต โดยจะต้องมีความเข้าใจในตลาด มีข้อมูล และความรู้ เพื่อที่จะตัดสินใจในการซื้อ และการขายหุ้นได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งเรื่องของการตัดสินใจต่าง ๆ ที่ควรมีความเด็ดขาด และการยอมรับ
ในความสูญเสีย ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งการสูญเสียกำไร ที่อาจจะได้มากขึ้น หรือการสูญเสียเงินต้น เพราะการขาดทุน เป็นต้น เพราะฉะนั้นนักลงทุนในตลาดหุ้น ที่ใช้กลยุทธ์การจับจังหวะหุ้น ควรที่จะมีการศึกษาข้อมูล ติดตามข่าวสาร และกลไกระบบการทำงานของตลาดหุ้นอย่างละเอียดรอบคอบ
เพื่อลดช่องโหวตในการขาดทุน นอกจากนี้ นักลงทุนเองก็ควรเป้าหมายในการลงทุน และความสามารถในการประเมินขีดจำกัด และความสามารถของตัวเอง มีวินัยในการเรียนรู้ และมีภูมิคุ้มกัน ให้กันตนเองอยู่เสมออีกด้วย
ที่มา: 5 Key Investment Strategies To Learn Before Trading [3]
การพิจารณาในการจับจังหวะ ในการลงทุนต่าง ๆ นั้น จะต้องมีปัจจัยในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และปัจจัยอื่น ๆ ประกอบ ซึ่งจะนอกเหนือจากความเข้าใจ ในข้อมูล หรือ Fund Fact Sheet ที่มีในหุ้นตัวนั้น ๆ อีกทั้งปัญหาทางด้านเศรษฐกิจมหภาค ก็ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหลัก
ที่ทำให้ภาพของเศรษฐกิจโดยรวม อาจจะเป็นเงินเฟ้อ เงินฝืด หรือเงินลอยตัวก็ได้เช่นกัน อีกทั้งความไม่แน่นอนของค่าเงิน ที่ขึ้นอยู่กับการเมือง หรือความมั่นคงของรัฐบาล ของประเทศนั้น ๆ ก็อาจจะเป็นปัจจัย ที่จะส่งผลถึงแนวโน้มราคาของหุ้น ราคาการซื้อขาย ปริมาณหุ้นในตลาด
ซึ่งนี่เป็นเพียงตัวอย่าง ของปัจจัยเบื้องต้น ที่อาจจะมีแนวโน้ม ต่อกลไกในการทำงานของหุ้นตัวนั้น ๆ ที่มีผลทางด้านราคา ในการซื้อขายในปัจจุบัน และอนาคต
ในปัจจุบันที่ได้เข้าสู่ยุคที่ AI หรือปัญญาประดิษฐ์นั้น ได้เข้ามามีบทบาทในการทำงานในหลายด้าน ทั้งด้านการเงิน การลงทุน หรือแม้แต่การลงทุนเกี่ยวกับ การซื้อขายหุ้น ที่ปัญญาประดิษฐ์นั้น สามารถเข้ามามีบทบาท ในการออกแบบ และการกำหนดข้อกำหนดต่าง ๆ ในการลงทุน ซึ่งข้อดีของการมีปัญญา
ประดิษฐ์ ในการลงทุน คือ ปัญญาประดิษฐ์สามารถช่วยลดความเสี่ยง ในการซื้อขายหุ้น หรือการเลือกลงทุนของนักลงทุน และยังสามารถให้คำปรึกษากับนักลงทุน ที่อาจจะมีความลังเล ในการซื้อหรือขายหุ้นตัวนั้น อีกทั้งยังสามารถให้ข้อมูล ในการประกอบการตัดสินใจ ให้กับผู้ลงทุนอีกด้วย
ถ้าพูดถึงค่าใช้จ่าย ในการลงทุนนั้น ต้องบอกว่าราคาจะสูง หรือราคาจะต่ำ ก็จะขึ้นอยู่กับตัวหุ้น ที่เราได้ลงทุนไป ซึ่งผู้ลงทุนนั้นจะต้องประเมินสภาพคล่องของตนเอง ก่อนการลงทุน เพราะนอกเหนือจากค่าใช้จ่าย ในการลงทุนแล้ว ยังมีค่าบริการต่าง ๆ ในแพลตฟอร์ม ที่นักลงทุนนั้น ได้เข้าไปลงทุน
ทั้งค่าใช้จ่ายจากการขาย การบริการ การบริหาร ดอกเบี้ย และภาษี เป็นต้น ซึ่งบริษัทที่มีศักยภาพ ในการบริหาร จะแสดงถึงค่าใช้จ่าย ในแพลตฟอร์มนั้นว่ามีค่าบริการ ที่มีการปรับลดลง หรือมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ที่มีความสม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในแพลตฟอร์ม ที่มีการเก็บรักษาหุ้น
ที่มีการเก็บเงิน และค่าใช้จ่ายที่แฝงอยู่ในแพลตฟอร์ม ซึ่งค่าบริการ ในการแลกเปลี่ยนหุ้น ให้กลายเป็นเงินจริง จะมีค่าบริการ ที่มีราคาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์ม ที่ผู้ลงทุนใช้งาน
สรุป จับจังหวะ ลงทุนในหุ้น เป็นการลงทุนในหุ้น อีกชนิดหนึ่ง ที่ต้องอาศัยประสบการณ์ และความสามารถส่วนบุคคล เพื่อสร้างผลกำไร ให้กับหุ้นของตัวเอง ซึ่งการลงทุนนั้น ควรมีความเข้าใจ ในกลไกของตลาด และการทำงานของหุ้น อีกทั้งควรมีความอดทน ในเรื่องของระยะเวลาอีกด้วย
ความเสี่ยงหลัก ของการจับจังหวะ การลงทุนในหุ้น จะเป็นเรื่องของความผันผวนของตลาด เช่น ความเสี่ยงจากการพลาดโอกาส ค่าใช้จ่ายจากการซื้อขาย ความเสี่ยงทางด้านอารมณ์ ของผู้ลงทุน และความเสี่ยงจากการประเมิน ที่ผิดพลาด เป็นต้น
เครื่องมือที่นักลงทุนมักใช้ ในการจับจังหวะหุ้น ได้แก่ เครื่อง Indicator เครื่อง Moving Average (MA)
และเครื่อง Exponential Moving Average (EMA) เครื่องพวกนี้ จะใช้เพื่อดูค่าเฉลี่ย ในการแสดงข้อมูลของน้ำหนัก ราคา และข้อมูลล่าสุดของกราฟ เป็นต้น