เปิด ประวัติ ยูโด ศิลปะการต่อสู้ แห่งความอ่อนโยน

ประวัติ ยูโด

ประวัติ ยูโด เริ่มต้นจากการพัฒนาเทคนิคศิลปะการต่อสู้โบราณ ให้ปลอดภัย และเหมาะกับการฝึกทั้งร่างกายและจิตใจ ยูโดเน้นการใช้แรงของคู่ต่อสู้แทนกำลังต้าน พร้อมกติกาที่ชัดเจน และการแข่งขันระดับโลก ที่สำคัญยังแตกต่างจากเทควันโดที่เน้นการเตะ และชกอย่างชัดเจน

  • ประวัติกีฬายูโด
  • กติกาและการตัดสินแพ้ชนะ
  • เทคนิคการต่อสู้ของกีฬายูโด

บอกเล่าประวัติของกีฬายูโด

กีฬายูโด ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1882 โดย ดร.จิโกโร คาโน ซึ่งนำเทคนิคบางส่วนจากศิลปะการต่อสู้โบราณอย่าง จูจิตสึ มาปรับให้ปลอดภัยและเหมาะกับการฝึกทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมใช้เป็นวิธีป้องกันตัว

คำว่า “ยูโด” แปลว่า “วิถีแห่งความอ่อนโยน” เน้นการใช้แรงของฝ่ายตรงข้ามให้เกิดประโยชน์ แทนที่จะฝืนต้านด้วยกำลัง แนวคิดนี้ยังสามารถนำไปใช้รับมือกับปัญหาในชีวิตจริงได้อีกด้วย และถึงแม้ว่าจะเป็นกีฬาที่มาจากญี่ปุ่นเหมือนคาราเต้ วิธีเล่น คาราเต้ ก็แตกต่างจากยูโดค่อนข้างมาก

ที่มา: ยูโด: ศิลปะการต่อสู้และปรัชญาแห่งความอ่อนโยน [1]

ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกีฬายูโด

  • ประเภทกีฬา: ต่อสู้แบบจับล็อกและทุ่ม (Grappling)
  • ระดับการปะทะ: ปะทะจริง (Full contact)
  • ต้นกำเนิด: ประเทศญี่ปุ่น
  • ผู้ก่อตั้ง: จิโกโร คาโน
  • พื้นฐานเดิม: มาจากจูจุตสึโบราณ (Tenjin Shin’yō-ryū, Kitō-ryū)
  • ศิลปะต่อสู้ที่ได้รับอิทธิพล: BJJ, ซัมโบ, คราฟมาก้า ฯลฯ
  • โอลิมปิก: เริ่มแข่งชายปี 1964, หญิงปี 1992
  • หน่วยงานหลัก: สหพันธ์ยูโดนานาชาติ (IJF)
  • สถานที่ฝึกแรก: โคโดคัง (Kodokan)
  • บุคคลสำคัญ: จิโกโร คาโน, คิวโซะ มิฟุเนะ และนักยูโดระดับโลก

ที่มา: ยูโด [2]

กฎ กติกาการตัดสินแพ้ชนะในกีฬายูโด

กีฬายูโด เป็นกีฬาต่อสู้ที่ใช้กติกาเดียวกันทั่วโลก และเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาของโอลิมปิก การแข่งขันจะมีเวลา 4 นาทีต่อรอบสำหรับทั้งผู้ชายและผู้หญิง จุดเด่นของกีฬานี้คือการแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน ด้วยการโค้งคำนับก่อนและหลังการต่อสู้

การตัดสินผลแพ้ชนะมี 2 แบบ

  • อิปปอน (แต้มเต็ม) จะได้เมื่อผู้เล่นสามารถทุ่มคู่ต่อสู้โดยมีครบ 4 องค์ประกอบ ได้แก่: ควบคุมคู่ต่อสู้ได้ คู่ต่อสู้ล้มโดยหลังสัมผัสพื้น การทุ่มมีความแรง การทุ่มมีความเร็ว หรืออีกกรณีคือ สามารถกดหลังและไหล่ของคู่ต่อสู้นอนแนบพื้นได้นาน 20 วินาที
  • วาซาอาริ (ครึ่งแต้ม) จะได้ถ้าทำได้บางส่วน เช่น ทุ่มได้แต่ครบแค่ 2 จาก 4 ข้อ หรือกดคู่ต่อสู้นอนได้เพียง 10 วินาที

ถ้านักกีฬาทำ วาซาอาริได้ 2 ครั้ง ก็จะนับรวมเป็น อิปปอน และจบการแข่งขันทันทีเช่นกัน นอกจากนี้ หากมีการเล่นผิดกติกา ก็อาจถูกปรับแพ้ได้ทันที

ที่มา: ยูโดที่กำเนิดขึ้นในญี่ปุ่นคืออะไร? [3]

จุดเด่นที่น่าสนใจของกีฬายูโด

ประวัติ ยูโด

ยูโดคือกีฬาต่อสู้ที่เน้นใช้เทคนิคและความชำนาญมากกว่าพละกำลัง จึงเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็ฝึกได้ ยูโดมีประวัติยาวนานและยังเป็นกีฬาที่ใช้แข่งขันในระดับโลกอย่างโอลิมปิก

  • เน้นการใช้เทคนิคมากกว่ากำลัง ยูโดสอนให้ใช้หลักฟิสิกส์และการทรงตัวในการควบคุมคู่ต่อสู้ แทนที่จะใช้แรงดึงหรือการฟาด จึงช่วยให้ผู้ฝึกมีทักษะในการแก้สถานการณ์และคิดวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว
  • พัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ นอกจากการฝึกร่างกายให้แข็งแรงและยืดหยุ่นแล้ว ยูโดยังเน้นเรื่องวินัย ความอดทน และความเคารพผู้อื่น
  • เหมาะกับทุกวัยและทุกสภาพร่างกาย การฝึกยูโดสามารถปรับให้เหมาะกับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่มีข้อจำกัดทางร่างกายได้ เพราะมีการเรียนรู้เทคนิคในระดับต่างๆ
  • ปลอดภัยกว่าที่คิด แม้ว่าจะเป็นกีฬาต่อสู้ แต่ยูโดมีวิธีฝึกที่เน้นการหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ และสอนวิธีล้มอย่างปลอดภัย
  • ส่งเสริมการป้องกันตัว ยูโดช่วยให้ผู้ฝึกสามารถป้องกันตัวเองในสถานการณ์จริงได้ โดยใช้ความรู้ทางเทคนิคและสมาธิ

เทคนิคการต่อสู้ ด้วยศิลปะการทุ่ม

ยูโดไม่ใช่แค่กีฬาต่อสู้ธรรมดา แต่เป็นศิลปะที่เน้นทั้งทักษะ ร่างกาย และจิตใจ การฝึกยูโดจึงไม่ได้มีแค่การลงสนามแข่งขัน แต่รวมถึงการเรียนรู้เทคนิคพื้นฐานที่สำคัญ ซึ่งเป็นรากฐานของการควบคุมคู่ต่อสู้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาไปรู้จักกับเทคนิคหลักของการฝึกยูโดที่นักกีฬาและผู้ฝึกหัดทุกคนควรรู้

เทคนิคของยูโดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

  • นาเกวาซะ คือ เทคนิคการทุ่ม ซึ่งมีพื้นฐานอยู่ 12 ท่า แบ่งตามส่วนของร่างกายที่ใช้ เช่น การทุ่มด้วยมือ สะโพก ขา ไหล่ หรือด้านข้างลำตัว
  • คาตะเมะวาซะ คือ เทคนิคการควบคุมคู่ต่อสู้บนพื้น เช่น การล็อก กด หรือรัดให้ยอมแพ้ แบ่งย่อยได้อีก 3 แบบคือ การกดให้นอนนิ่ง (โอเซโคมิ), การรัดคอ (ชิเมะวาซะ) และการล็อกข้อต่อ (คันเซ็ทสึวาซะ)
  • อาเตมิวาซะ คือ เทคนิคการจู่โจม เช่น การชก ต่อย ถีบ ซึ่งใช้เฉพาะในกรณีป้องกันตัวจริงๆ เท่านั้น และไม่มีในกติกาการแข่งขันยูโด

ที่มา: ประวัติกีฬายูโดในโอลิมปิก [4]

ความต่างระหว่าง กีฬายูโด vs เทควันโด

ยูโดและเทควันโดเป็นกีฬาต่อสู้ที่ได้รับความนิยมมากในเอเชียและทั่วโลก แม้จะดูคล้ายกัน แต่จริงๆ แล้วมีความต่างทั้งเรื่องเทคนิค กติกา และวิธีเล่น ลองมาดูทีละประเภทกัน

ยูโด (Judo)

  • ต้นกำเนิด: มาจากญี่ปุ่น เน้นการใช้เทคนิคจับและทุ่มคู่ต่อสู้
  • วิธีเล่น: ใช้การจับ ทุ่ม หรือกดให้อีกฝ่ายลงพื้น เพื่อชนะ มีการล็อกข้อต่อหรือกดคอให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้ได้
  • ชุดและอุปกรณ์: ใส่ชุดกิโมโนหนา (ยูกิ) ที่ทนทานต่อการจับ
  • กติกา: คะแนนจะได้จากการทุ่มที่สมบูรณ์ หรือทำให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้ เน้นการควบคุมและใช้แรงต้านของคู่ต่อสู้
  • จุดเด่น: เน้นเทคนิคการจับและทรงตัว ใช้ความคิดและกลยุทธ์มากกว่ากำลัง

เทควันโด (Taekwondo)

  • ต้นกำเนิด: มาจากเกาหลี เน้นการเตะที่รวดเร็วและแรง
  • วิธีเล่น: ใช้เตะและชกทำคะแนน โดยเน้นการโจมตีที่หัวและลำตัว การแข่งขันจะเน้นการทำคะแนนจากการโจมตีที่ถูกต้อง
  • ชุดและอุปกรณ์: ใส่ชุดเบาสบาย พร้อมใส่อุปกรณ์ป้องกัน เช่น สนับแข้ง หมวกกันน็อก
  • กติกา: ให้คะแนนจากการเตะและชกที่แม่นยำและถูกกติกา ชนะโดยมีคะแนนมากกว่าหรือชนะน็อก
  • จุดเด่น: เน้นความเร็ว ความคล่องตัว และพลังเตะที่แม่นยำ

บทส่งท้าย ประวัติ ยูโด

ประวัติ ยูโด เริ่มจากการปรับปรุงศิลปะการต่อสู้โบราณให้ปลอดภัยและเน้นพัฒนาทักษะร่างกายกับจิตใจ ยูโดใช้เทคนิคจับและทุ่มเป็นหลัก แตกต่างจากเทควันโดที่เน้นเตะและชก การฝึกยูโดจึงเหมาะกับทุกวัยและเน้นวินัยควบคู่ไปด้วย

กีฬายูโด กับยิวยิตสู เป็นกีฬาเดียวกันหรือไม่ ?

ยูโดกับยิวยิตสูไม่ใช่กีฬาเดียวกัน แต่ยูโดเกิดจากการพัฒนาต่อยอดมาจากยิวยิตสู โดยเน้นเทคนิคการทุ่มและล็อกมากขึ้น ส่วนยิวยิตสูเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ครอบคลุมทั้งการโจมตี เตะ ชก และล็อกข้อต่อในรูปแบบที่กว้างกว่า

อยากเป็นนักกีฬายูโด ต้องเตรียมตัวอย่างไร ?

ถ้าอยากเป็นนักกีฬายูโด ต้องเริ่มจากฝึกพื้นฐานท่าทางและเทคนิคจับทุ่มให้แม่น พร้อมฝึกความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของร่างกายด้วย ควรมีวินัย ฝึกอย่างสม่ำเสมอ และรู้จักควบคุมตัวเองทั้งเรื่องร่างกายและจิตใจ

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง