
มือฉมังเข้าใจ Yield Curve ลงทุนยังไง ให้มีความยั่งยืน
- LittleHydrangea
- 23 views
มือฉมังเข้าใจ Yield Curve เส้นที่แสดงอัตราของผลตอบแทน ที่ผู้ลงทุน ควรที่จะรู้ และเข้าใจ ในเส้นนี้ให้มากที่สุด เพราะนอกจากจะช่วยผู้ลงทุน ให้เข้าใจการลงทุน ยังสามารถช่วยให้ผู้ลงทุนคาดคะเน หรือคาดการณ์ ผลตอบแทนของดอกเบี้ยล่วงหน้า ได้อีกด้วย
Yield Curve คือ เส้นความสัมพันธ์ ของอัตราผลตอบแทน ที่เป็นเส้นของพันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารหนี้ ที่มีอายุตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ถึง 30 ปี โดยนักลงทุนมือฉมังนั้น มักจะให้ความสนใจ ใน Yield Curve ของพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุตั้งแต่ 2-10 ปีขึ้นไป เพราะถือเป็นช่วง ที่แสดงถึงผลตอบแทน
ที่คาดว่าจะได้ ได้ดีที่สุด หมายถึง ถ้าหากอยู่ในช่วงที่ ภาวะทางเศรษฐกิจนั้น มีการเติบโตได้ดี ตัวเส้นYield จะมีรูปร่าง ที่ลาดชันขึ้น แบบlonger-term ในพันธบัตรรัฐบาล ที่ให้ผลตอบแทน แบบระยะยาว และนี่ก็เป็นที่มาของความหมาย ของเส้นที่แสดงผลตอบแทน ของตราสารหนี้
และเป็นที่มาของเหตุผลว่า ทำไมผู้ลงทุน จึงนิยมลงทุน ในพันธบัตรรัฐบาล แบบระยะยาว มากกว่าระยะสั้น เพราะถ้าหากลงทุน ในพันธบัตรรัฐบาล แบบระยะยาวนั้น จะให้ผลตอบแทน ที่ได้เป็นดอกเบี้ย ในอัตราคงที่ ที่มากกว่าพันธบัตรรัฐบาล แบบระยะสั้นนั่นเอง
ที่มา: Fund Times – THYield curve คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร [1]
เส้นแสดงอัตราผลตอบแทน ตราสารหนี้นั้น มี 3 แบบ คือ
ซึ่งหลังจากนี้ เราจะแทน Yield เป็นตัว Y: กล่าวได้คือ ไม่ว่าจะเป็น US Government bond หรือ Treasury หรือตัวพันธบัตรรัฐบาลตัวอื่น ๆ ในตลาดมักจะเรียกตัวพวกนี้ว่า Bond Yield 10Y หมายถึง อัตราผลตอบแทน ของพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี เช่น US Bond Yield 10Y คืออัตราผลตอบแทน
ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี ซึ่งนักลงทุนมือฉมังส่วนใหญ่ มีชักจะดูเส้นY ในตัว 2 ปี และ 10 ปี เป็นหลัก เพราะสองเส้นนี้ จะเป็นเส้นที่แสดง ให้เห็นถึงค่าอัตราผลตอบแทน ที่ชัดมากกว่า เส้นY ในระยะอื่น
รูปแบบการเคลื่อนไหว ในการทำงานของเส้นYield จะมีรูปแบบการเคลื่อนไหวอยู่ 4 รูปแบบ คือ
ที่มา: บทความเดียวจบ! Yield Curve ใครว่ายาก [2]
ปัจจัยที่จะส่งผลทำให้เส้นของพันธบัตรรัฐบาล หรือเส้นYield มีการเปลี่ยนแปลง มีปัจจัยสำคัญอยู่ 4 ปัจจัย ได้แก่
ซึ่งนี่เป็นเพียงปัจจัยหลัก ๆ ที่ถ้าหากนักลงทุน ได้ดูข้อมูลของปัจจัยเหล่านี้ จะทำให้นักลงทุน สามารถมองเห็นแนวโน้ม และคาดการณ์การลงทุน ในเบื้องต้นได้ดี
ที่มา: Yield Curve อ่านได้ เข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจ [3]
ต้องบอกว่าเส้นYield ไม่ได้จำเป็นสำหรับ นักธุรกิจ หรือนักลงทุนเพียงเท่านั้น แต่เส้นYield สำคัญสำหรับทุกคน เพราะเส้นYield สามารถบ่งบอกลักษณะ และทำให้เห็นภาพ ของอนาคตของเศรษฐกิจ ณ ตอนนั้น ๆ ได้อีกด้วย เพราะว่าเส้นYield เป็นเส้นของพันธบัตรรัฐบาล ที่แสดงอัตราดอกเบี้ย ที่อ้างอิง
และบอกได้ถึงความสมดุล ของเศรษฐกิจ ณ ตอนนั้น เช่น หากเราจะทำการซื้อบ้าน และได้ไปพบว่าเส้นYield บอกถึงอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก ของธนาคาร เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ๆ ที่ผ่านมา จะทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่า ในอีกไม่เกิน 1-2 ปี หรือไม่เกิน 3 ปีข้างหน้า อัตราดอกเบี้ยของบ้าน
ที่จะซื้อนั้นจะต้องเพิ่มสูงมากกว่าเดิม หลายเท่าตัว จะทำให้เห็นว่า เส้นYieldนั้น นอกจากดูภาพรวมของเศรษฐกิจ ดูการลงทุน ยังสามารถดูมูลค่า ของเงินที่อาจจะต้องเสียไป ในอนาคตได้อีกด้วย
ข้อจำกัดของเส้นผลตอบแทน ตราสารหนี้ ได้แก่ 1.การที่ไม่สามารถคาดการณ์ เศรษฐกิจในอนาคต ได้อย่างแม่นยำ เพราะแม้ว่าจะมีการเกิด Inverted curve ก็ไม่ได้แปลว่า เศรษฐกิจนั้นจะถดถอย จนไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ 2. ความล่าช้าของข้อมูล ที่เกิดขึ้นหลังการคาดการณ์
ของเส้นผลตอบแทน ตราสารหนี้ ซึ่งอาจจะทำให้หากเชื่อในเส้นผลตอบแทน ตราสารหนี้นั้น มากเกินไป ก็อาจจะเกิดข้อผิดพลาด เพราะพลาดข้อมูล ที่อาจจะเข้ามาทีหลัง ที่อาจจะมีผล ต่อการเปลี่ยนแปลง ของผลตอบแทนก็ได้ และนี่เป็นเพียงข้อจำกัดเบื้องต้นเพียงเท่านั้น
หากผู้ลงทุน อยากจะลงทุน ขอแนะนำ ให้ผู้ลงทุนนั้น รู้จัก การลงทุน และมีการศึกษาข้อมูล ก่อนลงทุนเสมอ
สรุป มือฉมังเข้าใจ Yield Curve หรือเส้นแสดงอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ เป็นเส้นที่สามารถสะท้อน อัตราของผลตอบแทน ของการลงทุน ที่มีความเสี่ยงต่ำ ว่าถ้ามีการลงทุนในระยะยาว ผลตอบแทนที่ได้รับ มักจะสูงขึ้น ตามกลไกของตลาดนั่นเอง
เพราะเส้นผลตอบแทนของตราสารหนี้ เป็นเส้นที่ทำให้นักลงทุนนั้น ๆ สามารถเข้าใจ เกี่ยวกับอัตราผลตอบแทน เพราะมันเป็นเครื่องมือ ที่ทำให้เห็นภาพของเศรษฐกิจได้ง่าย และมันยังสามารถคาดการณ์แนวโน้ม ในการเปลี่ยนแปลง ของตัวอัตราดอกเบี้ย ในอนาคตได้อีกด้วย
คำตอบคือ เส้นผลตอบแทนของตราสารหนี้ แบบ Normal curve หรือเส้นที่แสดงถึง พันธบัตรแบบระยะสั้น น้อยกว่า หรือต่ำกว่าเส้นพันธบัตร แบบระยะยาวนั่นเอง