มือฉมังเข้าใจ Yield Curve ลงทุนยังไง ให้มีความยั่งยืน

มือฉมังเข้าใจ Yield Curve

มือฉมังเข้าใจ Yield Curve เส้นที่แสดงอัตราของผลตอบแทน ที่ผู้ลงทุน ควรที่จะรู้ และเข้าใจ ในเส้นนี้ให้มากที่สุด เพราะนอกจากจะช่วยผู้ลงทุน ให้เข้าใจการลงทุน ยังสามารถช่วยให้ผู้ลงทุนคาดคะเน หรือคาดการณ์ ผลตอบแทนของดอกเบี้ยล่วงหน้า ได้อีกด้วย

  • อธิบายความหมายของเส้นผลตอบแทนตราสารหนี้
  • แนะนำรูปแบบของเส้นผลตอบแทนตราสารหนี้
  • อธิบายถึงปัจจัยที่ทำให้เส้นผลตอบแทนตราสารหนี้ มีการเปลี่ยนแปลง

Yield Curve คืออะไร มีความหมายว่าอย่างไร

Yield Curve คือ เส้นความสัมพันธ์ ของอัตราผลตอบแทน ที่เป็นเส้นของพันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารหนี้ ที่มีอายุตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ถึง 30 ปี โดยนักลงทุนมือฉมังนั้น มักจะให้ความสนใจ ใน Yield Curve ของพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุตั้งแต่ 2-10 ปีขึ้นไป เพราะถือเป็นช่วง ที่แสดงถึงผลตอบแทน

ที่คาดว่าจะได้ ได้ดีที่สุด หมายถึง ถ้าหากอยู่ในช่วงที่ ภาวะทางเศรษฐกิจนั้น มีการเติบโตได้ดี ตัวเส้นYield จะมีรูปร่าง ที่ลาดชันขึ้น แบบlonger-term ในพันธบัตรรัฐบาล ที่ให้ผลตอบแทน แบบระยะยาว และนี่ก็เป็นที่มาของความหมาย ของเส้นที่แสดงผลตอบแทน ของตราสารหนี้

และเป็นที่มาของเหตุผลว่า ทำไมผู้ลงทุน จึงนิยมลงทุน ในพันธบัตรรัฐบาล แบบระยะยาว มากกว่าระยะสั้น เพราะถ้าหากลงทุน ในพันธบัตรรัฐบาล แบบระยะยาวนั้น จะให้ผลตอบแทน ที่ได้เป็นดอกเบี้ย ในอัตราคงที่ ที่มากกว่าพันธบัตรรัฐบาล แบบระยะสั้นนั่นเอง

ที่มา: Fund Times – THYield curve คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร [1]

มือฉมังเข้าใจเส้นผลตอบแทน ตราสารหนี้นั้น มีกี่แบบ อะไรบ้าง

เส้นแสดงอัตราผลตอบแทน ตราสารหนี้นั้น มี 3 แบบ คือ

  1. แบบ Normal curve: ช่วงผลตอบแทนปกติ เป็นเส้นYield ที่แสดงถึงค่าของพันธบัตรระยะสั้น ที่มีค่าน้อยกว่า เส้นYield ของพันธบัตรระยะยาว
  2. แบบ Inverted curve :ช่วงผลตอบแทนแบบลาดลง เป็นเส้นYield ที่แสดงถึงค่า ของพันธบัตรระยะสั้น ที่มีค่ามากกว่า เส้นYield ของพันธบัตรระยะยาว
  3. แบบ Flat curve: ช่วงผลตอบแทนแบบราบเรียบ เป็นเส้นYield ที่แสดงถึงค่าของพันธบัตรระยะสั้น ที่มีค่าเท่ากับ เส้นYield ของพันธบัตรระยะยาว

ซึ่งหลังจากนี้ เราจะแทน Yield เป็นตัว Y: กล่าวได้คือ ไม่ว่าจะเป็น US Government bond หรือ Treasury หรือตัวพันธบัตรรัฐบาลตัวอื่น ๆ ในตลาดมักจะเรียกตัวพวกนี้ว่า Bond Yield 10Y หมายถึง อัตราผลตอบแทน ของพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี เช่น US Bond Yield 10Y คืออัตราผลตอบแทน

ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี ซึ่งนักลงทุนมือฉมังส่วนใหญ่ มีชักจะดูเส้นY ในตัว 2 ปี และ 10 ปี เป็นหลัก เพราะสองเส้นนี้ จะเป็นเส้นที่แสดง ให้เห็นถึงค่าอัตราผลตอบแทน ที่ชัดมากกว่า เส้นY ในระยะอื่น

รูปแบบการเคลื่อนไหว ของเส้นYield ทำงานอย่างไร

รูปแบบการเคลื่อนไหว ในการทำงานของเส้นYield จะมีรูปแบบการเคลื่อนไหวอยู่ 4 รูปแบบ คือ

  1. Bull Flattening คือเส้นที่ถ้าอยู่ในสภาวะ ที่เศรษฐกิจดี จะมี noise เข้ามา เช่น การขายหุ้นเข้าตราสารหนี้ เป็นต้น ตัวนี้เส้นพันธบัตรรัฐบาลตัวยาว จะต่ำลงกว่าตัวสั้น
  2. Bull Steepening คือเส้นบัตรรัฐบาล ที่เก็งตัว เพราะกลัวว่าดอกเบี้ย จะลดลง ซึ่งมักจะ shift ทั้ง curve มักจะเป็นกรณีที่พึ่งผ่าน Bull Flattening มา
  3. Bear Steepening จะเป็นการที่เส้นพันธบัตรรัฐบาล ในระยะยาว เพิ่มขึ้นสูงกว่าระยะสั้น มักจะเกิดในช่วง การเปลี่ยนผ่าน ของอัตราดอกเบี้ย จากอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ เปลี่ยนไปเป็นอัตราดอกเบี้ยระดับสูง
  4. Bear Flattening จะเป็นรูปแบบที่จะเกิดขึ้น หลังจากเกิดรูปแบบ Bear Steepening ไปแล้ว กล่าวคือถ้าหากดอกเบี้ยขึ้น และได้มีการคงดอกเบี้ยที่ต่ำไว้นาน จะทำให้เกิดฟองสบู่ ซึ่งธนาคารจะทำการขึ้นดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อนั่นเอง

ที่มา: บทความเดียวจบ! Yield Curve ใครว่ายาก [2]

ปัจจัยใด ที่ส่งผลต่อเส้นของพันธบัตรรัฐบาล

มือฉมังเข้าใจ Yield Curve

ปัจจัยที่จะส่งผลทำให้เส้นของพันธบัตรรัฐบาล หรือเส้นYield มีการเปลี่ยนแปลง มีปัจจัยสำคัญอยู่ 4 ปัจจัย ได้แก่

  1. เศรษฐกิจระดับมหภาค เพราะถ้าหากเศรษฐกิจ ในระดับมหภาคไม่ดี ก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ กล่าวคือ ถ้าเศรษฐกิจดี อัตราดอกเบี้ยก็จะเป็นบวก แต่ถ้าเศรษฐกิจแย่ อัตราดอกเบี้ยก็จะเป็นลบ
  2. อัตราเงินเฟ้อ ต้องบอกว่าตัวอัตราเงินเฟ้อนั้น มีผลโดยตรงต่อหุ้นกู้ เพราะหุ้นกู้นั้นได้อัตราดอกเบี้ยที่คงที่ หากเงินเฟ้อ ก็จะทำให้ได้เงินน้อยนั่นเอง
  3. GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ คือถ้าประชาชนมีเงินมาก และใช้จ่ายมาก ก็จะให้มีเงินหมุนเวียน ในประเทศที่มากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้ได้รับผลตอบแทน ที่มากขึ้น ตามอัตราการเติบโต ของเศรษฐกิจ
  4. ดุลการค้า เหตุผลที่ดุลการค้าสำคัญ เพราะหากดุลการค้าดี จะทำให้สามารถดึงดูดการลงทุน ในตลาดตราสารหนี้ ของต่างประเทศ และจะทำให้มีเงินสะพัดมากขึ้น

ซึ่งนี่เป็นเพียงปัจจัยหลัก ๆ ที่ถ้าหากนักลงทุน ได้ดูข้อมูลของปัจจัยเหล่านี้ จะทำให้นักลงทุน สามารถมองเห็นแนวโน้ม และคาดการณ์การลงทุน ในเบื้องต้นได้ดี

ที่มา: Yield Curve อ่านได้ เข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจ [3]

การคาดการณ์เศรษฐกิจ โดยการใช้เส้นYield

ต้องบอกว่าเส้นYield ไม่ได้จำเป็นสำหรับ นักธุรกิจ หรือนักลงทุนเพียงเท่านั้น แต่เส้นYield สำคัญสำหรับทุกคน เพราะเส้นYield สามารถบ่งบอกลักษณะ และทำให้เห็นภาพ ของอนาคตของเศรษฐกิจ ณ ตอนนั้น ๆ ได้อีกด้วย เพราะว่าเส้นYield เป็นเส้นของพันธบัตรรัฐบาล ที่แสดงอัตราดอกเบี้ย ที่อ้างอิง

และบอกได้ถึงความสมดุล ของเศรษฐกิจ ณ ตอนนั้น เช่น หากเราจะทำการซื้อบ้าน และได้ไปพบว่าเส้นYield บอกถึงอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก ของธนาคาร เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ๆ ที่ผ่านมา จะทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่า ในอีกไม่เกิน 1-2 ปี หรือไม่เกิน 3 ปีข้างหน้า อัตราดอกเบี้ยของบ้าน

ที่จะซื้อนั้นจะต้องเพิ่มสูงมากกว่าเดิม หลายเท่าตัว จะทำให้เห็นว่า เส้นYieldนั้น นอกจากดูภาพรวมของเศรษฐกิจ ดูการลงทุน ยังสามารถดูมูลค่า ของเงินที่อาจจะต้องเสียไป ในอนาคตได้อีกด้วย

ข้อจำกัดของเส้นที่แสดงผลตอบแทน ของตราสารหนี้มีอะไรบ้าง

ข้อจำกัดของเส้นผลตอบแทน ตราสารหนี้ ได้แก่ 1.การที่ไม่สามารถคาดการณ์ เศรษฐกิจในอนาคต ได้อย่างแม่นยำ เพราะแม้ว่าจะมีการเกิด Inverted curve ก็ไม่ได้แปลว่า เศรษฐกิจนั้นจะถดถอย จนไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ 2. ความล่าช้าของข้อมูล ที่เกิดขึ้นหลังการคาดการณ์

ของเส้นผลตอบแทน ตราสารหนี้ ซึ่งอาจจะทำให้หากเชื่อในเส้นผลตอบแทน ตราสารหนี้นั้น มากเกินไป ก็อาจจะเกิดข้อผิดพลาด เพราะพลาดข้อมูล ที่อาจจะเข้ามาทีหลัง ที่อาจจะมีผล ต่อการเปลี่ยนแปลง ของผลตอบแทนก็ได้ และนี่เป็นเพียงข้อจำกัดเบื้องต้นเพียงเท่านั้น

หากผู้ลงทุน อยากจะลงทุน ขอแนะนำ ให้ผู้ลงทุนนั้น รู้จัก การลงทุน และมีการศึกษาข้อมูล ก่อนลงทุนเสมอ

มือฉมังเข้าใจ Yield Curve กับบทสรุป

มือฉมังเข้าใจ Yield Curve

สรุป มือฉมังเข้าใจ Yield Curve หรือเส้นแสดงอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ เป็นเส้นที่สามารถสะท้อน อัตราของผลตอบแทน ของการลงทุน ที่มีความเสี่ยงต่ำ ว่าถ้ามีการลงทุนในระยะยาว ผลตอบแทนที่ได้รับ มักจะสูงขึ้น ตามกลไกของตลาดนั่นเอง

ทำไมนักลงทุน ถึงควรรู้จักกับเส้นที่แสดงผลตอบแทนตราสารหนี้

เพราะเส้นผลตอบแทนของตราสารหนี้ เป็นเส้นที่ทำให้นักลงทุนนั้น ๆ สามารถเข้าใจ เกี่ยวกับอัตราผลตอบแทน เพราะมันเป็นเครื่องมือ ที่ทำให้เห็นภาพของเศรษฐกิจได้ง่าย และมันยังสามารถคาดการณ์แนวโน้ม ในการเปลี่ยนแปลง ของตัวอัตราดอกเบี้ย ในอนาคตได้อีกด้วย

เส้นผลตอบแทน รูปแบบไหน ที่อยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจ มีความแข็งแกร่ง

คำตอบคือ เส้นผลตอบแทนของตราสารหนี้ แบบ Normal curve หรือเส้นที่แสดงถึง พันธบัตรแบบระยะสั้น น้อยกว่า หรือต่ำกว่าเส้นพันธบัตร แบบระยะยาวนั่นเอง

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง