
รีวิว แอสซาซินส์ วัลฮัลลา เกมแอ็กชันต่อสู้ของชาวไวกิ้ง
- Chono
- 19 views
รีวิว แอสซาซินส์ วัลฮัลลา สุดยอดแฟรนไชส์เกมแอ็กชันผจญภัย ซึ่งผู้เล่นจะได้สวมบทบาท เป็นหนึ่งในนักรบของชาวไวกิ้ง ที่เติบโตมาในยุคของการต่อสู้ เพื่อตอบโต้กับเกียรติยศอันสูงส่ง ซึ่งเป็นผลงานจากทางผู้พัฒนาเกม Ubisoft Montreal ทีมผู้สร้างแฟรนไชส์แอสซาซินส์ มาทำความรู้จักตัวเกม ก่อนที่จะเข้าไปร่วมรับความสนุกด้วยตัวท่านเอง
สำหรับตัวเกมในภาคนี้ ทางผู้พัฒนาเกม ได้นำเสนอรูปแบบการเล่น ฉบับเกมแอ็กชันผจญภัย ผสมผสานกับเกมสวมบทบาท ที่เปิดให้จับจองเป็นเจ้าของ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2022 ซึ่งตัวเกมเป็นภาคที่ 10 ของซีรีส์แฟรนไชส์เกมนี้ และเป็นภาคต่อของภาค Odyssey ที่ได้เปิดให้บริการไปเมื่อปี 2018
โดยธีมหลักของตัวเกมในภาคนี้ จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงปี 872-878 ผ่านชุมชนของชาวไวกิ้ง ที่อยู่ในยุคการขยายอาณาเขต เพื่อไปยังหมู่เกาะของอังกฤษ โดยผู้เล่นจะได้รับบทเป็นตัวละคร Eivor Varinsdottir ที่พยายามจะก่อตั้งกลุ่มไวกิ้งกลุ่มใหม่ แต่กลับเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้ง ของกลุ่มนักฆ่า Brotherhood
ข้อมูลจากทางผู้ให้บริการเกม กล่าวไว้ว่า โดยตัวเกมในภาคนี้ จะเปิดให้เล่นบนเครื่องเล่น PlayStation 4, Xbox One, Xbox Series X/S, Stadia และ Windows แต่เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2022 ตัวเกมก็ได้ปล่อยให้เล่นผ่านเครื่องเล่น PlayStation 5 อีกทั้งยังได้รับเสียงวิจารณ์ในทางเชิงบวกเป็นส่วนใหญ่ (4 กันยายน 2025) [1]
ซึ่งพล็อตเรื่องของตัวเกม จะเปิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 873 แรงกดดันทางการเมือง ในประเทศนอร์เวย์ ได้กระตุ้นให้ Eivor Varinsdottir และ Sigurd Styrbjornsson นำกลุ่มคนชาวไวกิ้ง ย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ ในดินแดนของประเทศอังกฤษ และยังเป็นส่วนหนึ่งของการขยายอาณาจักร เพื่อให้ชนเผ่าไวกิ้ง เป็นที่รู้จักไปทั่วทวีปยุโรป
ในอีกหลายปีถัดมา ก็ได้เกิดความขัดแย้ง ระหว่างอาณาจักรเวสเซ็กซ์, นอร์ธัมเบรียม, อีสต์แองเกลีย และเมอร์เซีย บุตรชายของหัวหน้านักรบชาวไวกิ้ง นามว่า Ragnar Lothbrok ได้ก่อตั้งกองทัพ Great Heathen เพื่อเผชิญหน้ากับความขัดแย้งในครั้งนี้ และยังมีความประสงค์ เพื่อจะรวบรวมอาณาจักรเข้าด้วยกัน
สำหรับเนื้อเรื่องของตัวเกม ก็ยังคงดำเนินเรื่อง คล้ายกับตัวเกมในภาคก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังมีเนื้อเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับยุคปัจจุบัน คุณจะได้ติดตามเรื่องราวของตัวละครหลัก Layla Hassan ซึ่งเขาเคยปรากฏตัวในภาค Origins และ Odyssey ทำให้รู้ได้ว่า เนื้อเรื่องของตัวเกมในภาคต่างๆ มีความเกี่ยวข้องกับอย่างเห็นได้ชัด
ในส่วนของระบบเกมเพลย์ โดยตัวเกมในภาคนี้ ถือว่าทำออกมาได้ยอดเยี่ยม ผู้เล่นจะได้สัมผัสความสนุก ความรู้จักของการออกผจญภัย ที่ดูสนุกมากยิ่งขึ้น และยังดูเหมือนว่า การออกผจญภัยของเกมนี้ ยังเป็นจุดขายที่น่าสนใจ มากกว่าฉากแอ็กชันต่อสู้เสียอีก และเมื่อมาอยู่ในธีมชาวไวกิ้ง เอกลักษณ์ก็คือการต่อสู้ที่ดุเดือด เลือดสาด และคัตซีนแทงทะลุลำตัว
และภายในเกมนี้ ยังมีระบบการปัดป้อง ซึ่งกลายเป็นกลยุทธ์หลักของตัวเกม ในช่วงที่คุณสามารถปัดป้องได้สำเร็จ จะส่งผลให้ศัตรูติดสถานะสตัน และเมื่อเกจสตันสิ้นสุดลง ศัตรูจะเกิดอาการเข่าทรุด ซึ่งจะเปิดช่องว่างให้ผู้เล่น สามารถเข้าไปจัดการด้วยท่าไม้ตาย ซึ่งจะทำให้ศัตรูสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมาก
ในส่วนของการอัปเกรดตัวละคร และค่าสถานะต่างๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ซึ่งจะเหลือเพียงแค่การนำค่าสถานะ ไปอัปเกรดสกิลทรี เพื่อเพิ่มสเตตัสความสามารถใหม่ๆ ดังนั้น ผู้เล่นควรโฟกัสที่เป้าหมายในการเพิ่มค่าประสบการณ์ และสกิลทรี ยังช่วยให้คุณได้เลือกสายอาชีพในการเล่น ได้แก่ สายลอบฆ่า, สายโจมตีด้วยอาวุธไกล และสายโจมตีด้วยอาวุธหนัก (10 พฤศจิกายน 2020) [2]
นับตั้งแต่ที่ตัวเกมเปิดให้เล่นบน Steam ภายในเดือนธันวาคม 2022 พบว่าตัวเกมในภาคนี้ มีผู้เล่นเข้าไปร่วมสนุกมากถึง 15,679 ผู้เล่นด้วยกัน ส่งผลให้เกมนี้ ติดอันดับ 822 สินค้าขายดีบนสตรีมอีกด้วย และที่สำคัญ ตัวเกมยังได้รับคำวิจารณ์ในทางเชิงบวกมากถึง 33,058บทวิจารณ์ (6 ธันวาคม 2022) [3]
แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับตัวเกมในภาคนี้ ได้สร้างประเด็นในด้านการของเซนเซอร์ เกี่ยวกับเนื้อหาความรุนแรงบนเครื่องเล่น PS4 และ PS5 และทางบริษัทผู้พัฒนาเกม Ubisoft ได้ออกมาประกาศเกี่ยวกับนโยบายการเซนเซอร์ แต่ไม่ได้ระบุถึงแพลตฟอร์ม PC และ Xbox
และนี่ก็คือตัวอย่างคำวิจารณ์จากผู้เล่น ซึ่งทางเราได้นำข้อมูลมาจากเว็บไซต์ Metacritic ในหัวข้อ PC Critic Reviews ซึ่งจะแบ่งคำวิจารณ์ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ คำวิจารณ์เชิงบวก 84%, คำวิจารณ์เชิงลบ 0% และคำวิจารณ์แบบผสม 16% หรือใครที่ต้องการดูบทความแนะนำเกมอื่นจากทางเรา สามารถคลิกเข้าไปดูได้ที่ เกมสตรีม น่าเล่น
ซึ่งตัวเกมในภาคไวกิ้ง ถือเป็นอีกหนึ่งภาคหลักที่สำคัญ นอกจากเนื้อเรื่องที่ดูแปลกใหม่ ระบบการเล่นภายในเกม ที่ทางผู้พัฒนาเกม ได้ออกแบบระบบการเล่นใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอีกด้วย ผู้อ่านสามารถศึกษารายละเอียดข้างต้น เพื่อนำมาใช้ประกอบในการตัดสินใจ ว่าจะซื้อเกมมาเล่นด้วยตนเองหรือไม่?
สำหรับผู้ที่มีความสนใจ และต้องการจะจับจองเป็นเจ้าของตัวเกม สามารถคลิกเข้าไปซื้อเกมบนแพลตฟอร์มสตรีม ในราคาเริ่มต้น 1,600 บาท ราคาตัวเกมแบบ Deluxe Edition 2,140 บาท ราคาตัวเกมแบบ Ragnarok Edition 2,670 บาท และราคาตัวเกมแบบ Complete Edition 3,740 บาท