
รีวิว Jump King เกมอินดี้โหด ที่จะกลายเป็นฝันร้ายของคนใจร้อน
- Spawn
- 23 views
รีวิว Jump King เกมอินดี้ที่พิสูจน์ว่าความโหด ไม่ต้องใช้กราฟิกอลังการ หรือระบบซับซ้อน แค่การกระโดดขึ้นหอคอยสูงก็พอ ที่จะทำให้ผู้เล่นต้องทดสอบทั้งความแม่น ความอดทน และจิตใจ เกมนี้จึงไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่เป็นบททดสอบความเป็นนักสู้ในตัวคุณ
JumpKingคือ เกมอินดี้ แนวแพลตฟอร์ม 2 มิติ (2D Platformer) ที่ใช้คอนเซ็ปต์เรียบง่าย แต่กลับซ่อนความท้าทายระดับโหดหิน เป้าหมายของเกมตรงไปตรงมา ผู้เล่นต้องควบคุมอัศวินตัวหนึ่ง กระโดดไต่ขึ้นหอคอยสูงเสียดฟ้า เพื่อไปตามหาเจ้าหญิงในตำนาน
สิ่งที่ทำให้เกมนี้ต่างออกไป คือระบบกระโดดที่สมจริงและแม่นยำ ทุกครั้งที่กดกระโดด ผู้เล่นต้องคาดคะเนทั้งแรง ทิศทาง และระยะเวลาให้เป๊ะ เพราะความผิดพลาดหนึ่งครั้ง อาจทำให้คุณต้องปีนใหม่จากจุดเริ่มต้น นี่แหละที่ทำให้เกมถูกขนานนามว่า “เกมกระโดดสุดหัวร้อน” (8 มิถุนายน 2020) [1]
แม้จะไม่ใช่เกม AAA ที่มีงบการตลาดถล่มทลาย แต่เกมJumpKing กลับกลายเป็น Cult Classic ที่ถูกพูดถึงกว้างขวางในหมู่ผู้เล่นสายฮาร์ดคอร์ และนักสตรีมเมอร์ ความนิยมของมันไม่ได้อยู่ที่จำนวนยอดขาย แต่อยู่ที่ชื่อเสียง ในฐานะเกมที่ทั้งทรมาน และท้าทายความอดทนที่สุดเกมหนึ่งในโลกอินดี้
เกมJumpKing ถูกพัฒนาโดย Nexile สตูดิโออินดี้ขนาดเล็กจากสวีเดน ที่เลือกใช้ไอเดียง่าย ๆ แต่เล่นกับความอดทนของผู้เล่น เกมเปิดตัวครั้งแรกบน PC (Steam) เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2019
ก่อนจะขยายมาสู่คอนโซลหลักทั้ง PlayStation 4, Xbox One และ Nintendo Switch ในวันที่ 9 มิถุนายน 2020 และปัจจุบัน Jump-King สามารถเล่นได้บนหลายตัวเลือก ดังนี้
นอกจากนี้ Nexile ยังปล่อย DLC เสริมฟรี อย่าง New Babe+ และ Ghost of the Babe ที่เพิ่มทั้งความยาก บรรยากาศใหม่ และแผนที่ซับซ้อนกว่าเดิม ทำให้ผู้เล่นมีเหตุผล ที่จะกลับมาทดสอบความอดทนซ้ำแล้วซ้ำอีก (21 พฤษภาคม 2025) [2]
หัวใจของเกมนี้ อยู่ที่ระบบการกระโดดธรรมดา ที่ถูกยกระดับจนกลายเป็น ศาสตร์แห่งความอดทน ที่อาจได้เรียนรู้ความใจเย็น จากความผิดพลาดเพียงเสี้ยววินาที ที่จะทำให้ตกลงมาไกลจากจุดปัจจุบัน จนต้องเริ่มใหม่แทบทั้งด่าน
ความท้าทายนี้ โหดเพราะเกม ไม่มี Checkpoint หรือ Save Point ทุกการพลาดคือบทลงโทษเต็ม ๆ ฟิสิกส์ของการตกสมจริงและไม่ปรานี บางครั้งอาจร่วงทีเดียวจากชั้นบนสุด ลงไปใกล้จุดเริ่มต้นเลยก็มี (9 กรกฎาคม 2019) [3] สิ่งที่ทำให้ Jump-King ต่างจากเกมแพลตฟอร์มทั่วไป ดังนี้
เสน่ห์ของเกมJumpKing ไม่ได้อยู่ที่เนื้อเรื่องอลังการ กราฟิกไฮเทค หรือระบบการเล่นซับซ้อน แต่กลับอยู่ที่ความเรียบง่ายที่ซ่อนความยากและความกดดันเอาไว้อย่างแนบเนียน จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ดึงดูดผู้เล่นสายท้าทายให้ตกหลุมรักเกมนี้ ดังนี้
เสียงจากนักวิจารณ์ (Critics Review)
เสียงจากผู้เล่น (Players Review)
ข้อดี
ข้อเสีย
เมื่อมองในปี 2025 เกมนี้ยังคงเป็นเกมอินดี้ ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวและไม่เหมือนใคร ความเรียบง่ายที่ซ่อนความโหด คือสิ่งที่ทำให้เกมนี้ยังถูกพูดถึงเสมอ ไม่ว่าจะในฐานะ เกมหัวร้อน หรือ เกมทดสอบความอดทน หากคุณเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ต้องการเกมที่วัดทั้งฝีมือและใจ เกมนี้ยังคงคุ้มค่าที่จะลอง
คำตอบ เหมาะกับคนที่ชอบความท้าทายสูง มีความอดทน และอยากพิสูจน์ใจตัวเอง ส่วนคนที่หัวร้อนง่ายหรือไม่ชอบลองซ้ำ อาจไม่ชื่นชอบแน่นอน
คำตอบ ยากจริง เพราะทุกการกระโดดต้องกะจังหวะแม่นยำ และไม่มีเซฟกลางทาง เหมือนเกม Super Cloudbuilt จึงทำให้ผู้เล่นทั่วไปใช้เวลาเฉลี่ย 10–30 ชั่วโมงกว่าจะจบเกมได้