ลงทุนแบบ Bill Gross ราชาแห่งพันธบัตรและตราสารหนี้

ลงทุนแบบ Bill Gross

ลงทุนแบบ Bill Gross เป็นการลงทุน ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ และหุ้นของพันธบัตรรัฐบาล และยังเป็นผู้ก่อตั้ง และผู้จัดการกองทุน ของบริษัท PIMCO ที่ทำให้บริษัท ที่มีการลงทุนไม่ถึง 400 ล้าน กลายเป็นบริษัทที่มีการลงทุนกว่า 1.74 ล้านล้าน ในเวลาไม่นาน

  • แนะนำบิลล์ กรอสส์นักลงทุน ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งพันธบัตร
  • แนะนำการกระจายความเสี่ยง แบบราชาแห่งพันธบัตร
  • ถอดแนวคิดของบิลล์ กรอสส์จากการลงทุน Startup

ราชาแห่งพันธบัตร คุณบิลล์ กรอสส์ คือใคร

ราชาแห่งพันธบัตร หรือบิลล์ กรอสส์นั้น เป็นผู้จัดการกองทุน และนักลงทุนในพันธบัตร ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก เรียกได้ว่า ถ้ารู้จักการ ลงทุนแบบ Warren Buffett ที่เป็นยักษ์ใหญ่ แห่งตลาดหุ้น ก็ต้องรู้จักบิลล์ กรอสส์ราชาแห่งพันธบัตรเช่นกัน โดยเริ่มแรกบิลล์ กรอสส์นั้นได้จัดการก่อตั้งบริษัทขึ้น ในปี 1971 ชื่อว่า

Pacific Investment Management Company หรือที่เรามักเรียกกันสั้น ๆ ว่า PIMCO ในอดีตเขาได้เข้าไปลงทุน พับพันธบัตรและตราสารหนี้ ที่ผู้คนไม่สนใจ ด้วยการลงทุนนี้ ที่ทำให้เขาได้กำไรมหาศาล จึงทำให้ บริษัทของเขา PIMCO จากอดีต ที่มีเงินภายใต้การบริหาร ไม่ถึง 400 ล้านดอลลาร์ ในปี 1971

แต่ในปี 2020 เขาสามารถสร้างสินทรัพย์ ที่เขาได้บริหาร ให้กับบริษัทกองทุนมากถึง 1.74 ล้านล้านดอลลาร์ และได้กลายเป็นบริษัท ที่ดำเนินการจัดการ ในกองทุน ที่ถือตราสารหนี้ ที่ดำเนินการอยู่ ใหญ่ที่สุดในโลก

ที่มา: Who Is Bill Gross [1]

เพราะเหตุใด บิลล์ กรอสส์จึงได้รับฉายาว่า ราชาแห่งพันธบัตร

เหตุผลที่บิลล์ กรอสส์นั้น ได้รับฉายาที่ว่า ราชาแห่งพันธบัตร เพราะการลงทุนของบิลล์ กรอสส์จะเน้นการลงทุน ที่ตราสารหนี้ของรัฐบาล โดยผ่านพันธบัตร ซึ่งมีระยะเวลาในการขายที่ค่อนข้างนานและมีความอดทนสูง ทำให้ผู้คนมีความสนใจ อีกทั้งยังมีเรื่องของความเชี่ยวชาญ

ในการซื้อขายพันธบัตรของบิล ที่ทำให้คน เริ่มให้ความสนใจกับเขามากขึ้น อีกทั้งยังมีเทคนิคต่าง ๆ ในการซื้อขายพันธบัตร ที่เป็นแบบอย่างให้กับผู้ลงทุนคนอื่น ๆ หรือนักลงทุนท่านอื่น ๆ ได้ทำตาม จึงทำให้นักลงทุนท่านอื่น ได้ให้ฉายากับเขาว่า ราชาแห่งพันธบัตร หรือ Bond King นั่นเอง

กลยุทธ์การลงทุนของบิลล์ กรอสส์แตกต่างจากการลงทุนในหุ้นอย่างไร

การลงทุนของบิลล์ มีความแตกต่าง คือ บิลล์มักจะลงทุนเฉพาะกับตราสารหนี้ พันธบัตร เพราะบิลล์คิดว่า การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ ที่มีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนอยู่ จะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือ ในการชำระคืนดอกเบี้ย และสร้างความน่าเชื่อถือ และความมั่นคงทางด้านของกำไร ในระยะยาว

และให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่งแตกต่างจากการลงทุน ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น หุ้นที่จะต้องคอยติดตาม ความผันผวนของราคาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการลงทุนในรูปแบบนี้ มักจะเป็นการลงทุน ในรูปแบบการลงทุนระยะสั้น ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงที่สูง ในเรื่องของราคา

จึงทำให้การลงทุนของบิลล์นั้น มีความมั่นคงของรายได้ และมีความน่าเชื่อถือมาก เพราะการลงทุนในของบิลล์ จะลงทุนในตราสารหนี้ และพันธบัตรรัฐบาล ที่เน้นการถือพันธบัตร เพื่อให้ได้กำไรในระยะยาว และให้มีความมั่นคงในการลงทุน

ที่มา: เมื่อ Bill Gross ราชาแห่งพันธบัตร กำลังบอกว่า พันธบัตรคือขยะ [2]

บิลล์ให้ความสำคัญ ในการกระจายความเสี่ยงหรือไม่

ลงทุนแบบ Bill Gross

บิลล์ได้การจัดพอร์ต แบบกระจายความเสี่ยง โดยเริ่มต้นจากการรวมพอร์ตหุ้น ซึ่งจะเป็นหุ้นที่เกี่ยวกับตราสารหนี้ หรือพันธบัตรรัฐบาล โดยใช้วิธีการซื้อพันธบัตรหลาย ๆ ใบ ด้วยราคาที่ค่อนข้างต่ำ และเน้นในการถือพันธบัตร ในระยะยาว ซึ่งการทำการลงทุน รูปแบบนี้ สามารถสร้างรายได้ให้เขาได้

ผลตอบแทน ที่มากกว่าทุน ที่ได้ทำการลงทุนไป อีกทั้งยังมีการกระจายความเสี่ยง โดยใช้วิธีในการซื้อสินทรัพย์ ในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น อสังหาริมทรัพย์ พันธบัตรรูปแบบต่าง ๆ และหุ้น กับกองทุนในตราสารหนี้ ซึ่งเรียกได้ว่ามีการลงทุน หลากหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยง ที่ค่อนข้าง

มีความปลอดภัยที่สูง เพราะเป็นการนำทุน มากระจายในหุ้น ในหลายรูปแบบ ดังนั้นการกระจายความเสี่ยง จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญ ในการลงทุนต่าง ๆ ของผู้ลงทุน และบิลล์ กรอสส์ก็ได้ให้ความสำคัญ กับการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เช่นกัน

การลงทุนแบบบิลล์ กรอสส์เน้นความสำคัญของอัตราดอกเบี้ยอย่างไร

การลงทุนแบบบิลล์ กรอสส์นั้นเรียกได้ว่า เป็นการลงทุนที่ให้ความสำคัญต่ออัตราดอกเบี้ยสูง โดยมักจะเน้นวิธีการวิเคราะห์ อัตราการเติบโตของดอกเบี้ย และการปรับพอร์ต ให้มีความสอดคล้อง กับอัตราดอกเบี้ยที่จะเติบโต และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้มีความสัมพันธ์กัน ในอนาคต

ที่มีความผันผวนตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังการกระจายการลงทุน ด้วยวิธีการ ในการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวม พันธบัตร เพราะในอดีตผู้คน มีความสนใจในสินทรัพย์เหล่านี้น้อย ทำให้ราคาต้นทุน ในการลงทุนนั้น ปรับลดลงตามความสนใจ ของคนในตลาด

แต่ในปัจจุบัน บิลล์ กรอสส์นั้นมองว่า การลงทุนในตราสารหนี้ นั้นเป็นเหมือนกับการลงทุน ในขยะแล้ว เพราะเหตุผลที่มีผู้สนใจ ในการลงทุนในตราสารหนี้ ที่สูงมากขึ้น และความผันผวน ของราคาอัตราดอกเบี้ย ที่ไม่ได้โตตามอัตราของเงินเฟ้อ จึงทำให้บิลล์ กรอสส์นั้นมองว่าการลงทุนนี้ ไม่คุ้มอีกต่อไป

แนวคิดของบิลล์ กับเหตุผลที่ Startup ประสบความสำเร็จ

ในปี 2015 ที่เวที TED Talk บิลล์ กรอสส์ ได้แบ่งปันบทเรียนที่เขาได้เรียนรู้ จากการทำธุรกิจ ว่าเหตุผลที่ทำให้ธุรกิจ Startup ประสบความสำเร็จ ในปัจจุบันนั้นมาจากปัจจัย 5 ข้อ คือ Idea, Team, Business Model, Funding และ Timing กล่าวคือ จากกรณีศึกษา อย่าง Airbnb แพลตฟอร์มจองห้องพัก

แบบออนไลน์ ที่ก่อตั้ง ตั้งแต่ก่อนปี 2008 ในอดีตไม่ค่อยเป็นที่น่าจับตามองเท่าไหร่ แต่ในปี 2008 ที่มีเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้ผู้คนต้องการสร้างรายได้ และหันมาใช้แพลตฟอร์มนี้มากขึ้น หรือตัวอย่าง Z.com ที่เป็นแพลตฟอร์มสื่อวิดีโอออนไลน์ เหมือน Youtube แต่ด้วยความที่อดีต

เทคโนโลยียังไม่ได้ก้าวไกล ไปตามไอเดีย จึงทำให้ Z.com ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ด้วยจังหวะเวลา ที่เปิดตัว และเทคโนโลยี ที่ก้าวทันมากขึ้น ทำให้ Youtube ประสบความสำเร็จจนถึงปัจจุบัน และนี่เป็นเพียงตัวอย่าง จากปัจจัย ที่บิลล์ได้กล่าวข้างต้นนั่นเอง

ที่มา: 5 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Startup ประสบความสำเร็จ จาก Bill Gross [3]

ลงทุนแบบ Bill Gross กับบทสรุป

ลงทุนแบบ Bill Gross

สรุป การลงทุนแบบ Bill Gross คือการลงทุนในตราสารหนี้ ที่มีรัฐบาลเป็นลูกหนี้ เพื่อรับผลตอบแทน ที่มีความเสี่ยงต่ำ นอกจากนี้ ยังมีการกระจายความเสี่ยง และมีการจัดพอร์ตการลงทุน และคอยดูแล และวิเคราะห์การเติบโต ของอัตราดอกเบี้ย

ในยุคที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ บิลล์มีมุมมองต่อการลงทุนในพันธบัตรแบบไหน

ในความคิดของบิลล์ได้มองว่า ในยุคที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ หากลงทุนในระยะสั้น (5 ปี) มีโอกาสที่ผู้ลงทุน จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเนื่องจากอัตราดอกเบี้ย ที่ปรับลดลง ทำให้ส่งผลต่อผลกำไรที่ควรจะได้รับ ซึ่งส่งผลต่อผู้ลงทุนอย่างชัดเจนนั่นเอง

อะไรคือบทเรียนจากความขัดแย้งระหว่างบิลล์ กรอสส์กับ PIMCO

สำหรับบทเรียนระหว่างบิลล์ กรอสส์ กับบริษัท PIMCO คือการใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ เพราะถือเป็นการสะท้อนของวุฒิภาวะ และความสามารถของผู้นำ ซึ่งถ้าหากการบริหารมีอารมณ์เข้าไปเกี่ยวข้อง จะทำให้ไม่มีความหลากหลายทางด้านความคิดเห็น โดยผูกขาดความคิดเพียงผู้เดียว

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง