วิธีเล่น คาราเต้ ศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า แบบชาวญี่ปุ่น

วิธีเล่น คาราเต้

วิธีเล่น คาราเต้ เป็นศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า ที่ผสมผสานเทคนิคจากญี่ปุ่น และจีน มีทั้งการฝึกท่าพื้นฐาน การแสดงคาตะ และการต่อสู้จริงในคุมิเต้ ที่เน้นการใช้มือ และเท้าอย่างแม่นยำ พร้อมทั้งมีกติกา และการนับคะแนนชัดเจนสำหรับการแข่งขันทุกระดับ

  • ประวัติของกีฬาคาราเต้
  • การฝึกฝน และการเล่นคาราเต้
  • กติกาและการนับคะแนน

อ่านประวัติของกีฬาคาราเต้

กีฬาคาราเต้ เป็นศิลปะการต่อสู้แบบมือเปล่าที่เกิดขึ้นในโอกินาวะ ประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นการผสมผสานระหว่างวิชาต่อสู้ของชาวโอกินาวะกับมวยจากจีน คาราเต้เริ่มแพร่หลายเข้าสู่ญี่ปุ่นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อชาวโอกินาวะอพยพมา

หลายคนอาจคิดว่าคาราเต้คือการฟันอิฐ แต่จริงๆ แล้วเป็นการใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น กำปั้น เท้า สันมือ นิ้ว และศอก ในการต่อสู้ ซึ่งเมื่อพัฒนากลายเป็นกีฬา ก็จะเน้นใช้เฉพาะมือและเท้าเป็นหลัก ถึงแม้ว่าจะเป็นการต่อสู้ที่มาจากญี่ปุ่นเหมือนยูโด แต่ ประวัติ ยูโด และคาราเต้ก็มีต้นกำเนิด แนวคิดที่แตกต่างกัน

ในประวัติศาสตร์ โอกินาวะซึ่งมีการติดต่อค้าขายกับจีนมานาน ได้รับอิทธิพลศิลปะการต่อสู้จากจีนมวยใต้และนำมาพัฒนารวมกับวิชาต่อสู้เดิม จนเรียกกันว่า “โทเต้” หรือ “โอกินาวาเต้” ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 สำนักหลักตามชื่อเมืองในโอกินาวะ ได้แก่ ชูริเต้ นาฮาเต้ และโทมาริเต้ ที่มีเอกลักษณ์ และวิธีฝึกที่แตกต่างกัน

ที่มา: คาราเต้ [1]

ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกีฬาคาราเต้

  • ชื่อเต็ม: คาราเต้โด (Karate Do)
  • ชื่อเรียกอื่น: Chōmo Hanashiro (ชื่อบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์)
  • ลักษณะหลัก: เน้นการโจมตีด้วยมือและเท้า (Striking)
  • ระดับความรุนแรง: สามารถแข่งขันได้ในรูปแบบ เต็มแมตช์ (Full-contact), กึ่งแมตช์ (Semi-contact) และเบาๆ (Light-contact)
  • แหล่งกำเนิด: ประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะจากหมู่เกาะรีวกีว (Ryukyu Islands)
  • ต้นกำเนิด: ศิลปะการต่อสู้ที่ผสมผสานระหว่างท้องถิ่นรีวกีวและมวยจีน
  • ประเภทกีฬา: เป็นศิลปะการต่อสู้และกีฬาที่มีการแข่งขันอย่างเป็นทางการ
  • การแข่งขันโอลิมปิก: คาราเต้เริ่มถูกบรรจุให้แข่งในโอลิมปิกปี 2021
  • เทคนิคสำคัญ: การใช้กำปั้น เท้า ศอก และเข่าในการโจมตีและป้องกัน
  • วัฒนธรรม: คาราเต้ไม่ได้เป็นแค่การต่อสู้ แต่ยังสอนเรื่องวินัยและการควบคุมตัวเอง

วิธีการฝึกฝน และการเล่นกีฬาคาราเต้

  • ฝึกท่ายืนและท่าพื้นฐาน (Kihon) เริ่มจากการฝึกท่ายืน การเคลื่อนไหว และท่าชกเตะขั้นพื้นฐานเพื่อสร้างความแข็งแรงและสมดุลของร่างกาย ท่าพื้นฐานจะช่วยให้การเคลื่อนไหวต่อไปมีความมั่นคง
  • ฝึกคาตะ (Kata) คาตะคือชุดท่าทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ฝึกเพื่อพัฒนาความแม่นยำ เทคนิค การหายใจ และจังหวะ เหมือนกับการซ้อมร่างกายและจิตใจพร้อมกัน
  • ฝึกคุมิเต้ (Kumite) เป็นการฝึกต่อสู้จริงแบบมีการป้องกันและโจมตี ฝึกเพื่อเรียนรู้การใช้เทคนิคในสถานการณ์จริง ต้องควบคุมตัวเองและคู่ต่อสู้ เพื่อความปลอดภัย
  • การฝึกสมรรถภาพร่างกาย การออกกำลังกายทั่วไป เช่น วิ่ง ยืดเหยียด และฝึกความแข็งแรง จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวและลดการบาดเจ็บ

ในการแข่งขันจะมีทั้งการแสดงคาตะและการต่อสู้จริงในคุมิเต้ ผู้เล่นต้องปฏิบัติตามกติกา เช่น การนับคะแนน การเคลื่อนไหว การโจมตีที่ถูกต้อง และการรักษาความปลอดภัย เพื่อให้การแข่งขันเป็นธรรมและปลอดภัย

กติกา และการนับคะแนนของคาราเต้

วิธีเล่น คาราเต้

คาราเต้มีรูปแบบการแข่งขันที่ซับซ้อน เพราะเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีประวัติยาวนาน โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ

  • การแข่งขันประเภทคาตะ เป็นการแข่งขันแบบแสดงท่าทางต่อสู้ ทั้งแบบทีม (ทีมละ 3 คน แยกชาย-หญิง) และแบบเดี่ยว ผู้แข่งขันจะต้องใช้ท่าที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์คาราเต้โลก (WKF) ในแต่ละรอบห้ามแสดงท่าซ้ำ และไม่อนุญาตให้ใช้ท่าที่ไม่ได้รับอนุญาต
  • การแข่งขันประเภทคุมิเต้ เป็นการชกต่อสู้แบบตัวต่อตัว โดยแบ่งฝ่ายเป็นสีแดงและน้ำเงิน กรรมการมีทั้งหมด 4 คน ดูแลทั้งในและนอกสนาม การแข่งของผู้ชายใช้เวลา 3 นาที ส่วนผู้หญิง เด็ก หรือผู้เริ่มต้นใช้เวลา 2 นาที

การนับคะแนน

  • คุมิเต้ ให้คะแนน 3 ระดับ ได้แก่ IPPON (3 คะแนน): การเตะเข้าที่ศีรษะ ใบหน้า หรือจังหวะที่คู่ต่อสู้ล้ม, WAZARI (2 คะแนน): การเตะเข้าที่ลำตัว, YUKO (1 คะแนน): การชกเข้าที่ลำตัวหรือหัว ผู้ชนะคือคนที่ทำคะแนนครบ 8 แต้มก่อน หรือคะแนนสูงกว่าหลังหมดเวลา
  • คาตะ ใช้เกณฑ์ตัดสิน 5 ด้าน ได้แก่ ความถูกต้องของท่าทาง, ความเข้าใจในเทคนิค, การควบคุมลมหายใจ, ความยากของท่า, จังหวะ ความแข็งแรง สมดุล และพลังของผู้แข่งขัน

ที่มา: คาราเต้ [2]

ท่าการยืนแบบพื้นฐาน สำหรับการฝึกคาราเต้

ท่ายืนในคาราเต้ คือท่าทางวางเท้าพื้นฐานที่สำคัญในการฝึกคาราเต้ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่

  • ท่ายืนข้าง (Side stances) เช่น ท่ายืนเท้าชิด หรือกางเท้าเล็กน้อย เน้นถ่ายน้ำหนักเท่าๆ กัน
  • ท่ายืนหน้า (Forward stances) เช่น ท่ายืนก้าวหน้า ทิศทางเท้าชัดเจนเพื่อเตรียมโจมตีหรือป้องกัน
  • ท่ายืนถอยหลัง (Back stances) ถ่ายน้ำหนักส่วนใหญ่ไปที่เท้าหลัง เพื่อความมั่นคงและเคลื่อนที่ได้เร็ว
  • ท่ายืนพิเศษ (Additional stances) ท่ายืนแบบถ่ายน้ำหนักขาข้างเดียว หรือยืนปลายเท้า เหมาะกับท่าเคลื่อนไหวหรือโจมตีเฉพาะทาง

โดยท่ายืนแต่ละแบบจะมีลักษณะการวางเท้า ระยะห่าง และการถ่ายน้ำหนักที่แตกต่างกัน เพื่อช่วยรักษาสมดุลและความพร้อมในท่าต่อสู้

ที่มา: Tachikata — 29 Karate stances every Karateka must know [3]

การต่อสู้แบบ คาราเต้ vs เทควันโด ต่างกันยังไง

คาราเต้และเทควันโดเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมทั่วโลก แต่ก็มีลักษณะและวิธีการฝึกที่แตกต่างกันพอสมควร ซึ่งทำให้ทั้งสองมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

คาราเต้

  • เทคนิคหลัก: ใช้ทั้งมือและเท้าในการโจมตี เช่น ชก เตะ ศอก และท่าป้องกันตัว การเคลื่อนไหวมักตรงและหนักแน่น
  • รูปแบบแข่งขัน: มีทั้งแบบต่อสู้จริง (คุมิเต้) และการแสดงท่าทาง (คาตะ) คะแนนวัดจากความแม่นยำ พลัง และเทคนิค
  • ปรัชญา: เน้นพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ ฝึกควบคุมตัวเอง ความสมดุล และความแข็งแกร่ง
  • ต้นกำเนิด: เกิดในญี่ปุ่น โดยมีอิทธิพลจากศิลปะการต่อสู้จีนและโอกินาวะ

เทควันโด

  • เทคนิคหลัก: เน้นเตะเป็นหลัก โดยเฉพาะเตะสูง เตะหมุน และเตะเร็ว เคลื่อนไหวคล่องตัว
  • รูปแบบแข่งขัน: แข่งขันจริงเน้นเตะเข้าเป้าหมาย เช่น ศีรษะและลำตัว เพื่อเก็บคะแนน
  • ปรัชญา: เน้นพัฒนาความเร็ว ความยืดหยุ่น และทักษะเตะที่หลากหลาย
  • ต้นกำเนิด: พัฒนาจากเกาหลี หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีพื้นฐานจากมวยและศิลปะการต่อสู้ท้องถิ่น

วิธีเล่น คาราเต้ โดยสรุป

วิธีเล่น คาราเต้ คือการฝึกทั้งท่ายืนพื้นฐาน ท่าคาตะ และการต่อสู้จริงที่ต้องควบคุมเทคนิคและจังหวะอย่างแม่นยำ คาราเต้เน้นพัฒนาร่างกายและจิตใจควบคู่กัน พร้อมมีกติกาและการนับคะแนนชัดเจนสำหรับการแข่งขันทุกระดับ

คาราเต้ใช้ป้องกันตัวในชีวิตประจำวันได้หรือไม่ ?

คาราเต้ช่วยให้มีทักษะป้องกันตัวที่ดี โดยฝึกทั้งการโจมตีและหลบหลีกในสถานการณ์จริง แต่ต้องฝึกอย่างสม่ำเสมอถึงจะใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่ท่าทางสวยงามอย่างเดียว

คาราเต้เหมือนกับยูโดหรือไม่ ?

คาราเต้กับยูโดเป็นศิลปะการต่อสู้คนละแบบ คาราเต้เน้นการชกและเตะ ส่วนยูโดเน้นจับและทุ่มคู่ต่อสู้ ทั้งสองช่วยฝึกร่างกายและจิตใจ แต่เทคนิคและวิธีเล่นต่างกันชัดเจน

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง