
แนะนำ Runner3 เกมวิ่งตามจังหวะดนตรี ง่ายก็ได้ โหดก็มา
- Spawn
- 12 views
แนะนำ Runner3 เกมวิ่งตามจังหวะเสียง ที่ไม่ได้เป็นแค่ภาคต่อธรรมดา โดยความปั่นป่วนที่คุณจะได้รับภายในเกมนี้ จะมาถึงเมื่อระบบโยนความเพี้ยน ดนตรี และความท้าทายเข้ามาในเวลาเดียวกัน บอกได้เลยว่านี่คือเกมที่ทั้งตลก ทั้งโหด และทั้งดึงเวลาให้คุณกดรีสตาร์ทซ้ำ แบบหยุดไม่ได้
สำหรับการ แนะนำ Runner3 ไม่ใช่แค่เกมวิ่งตามจังหวะดนตรีทั่วไป แต่มันคือการสานต่อจากซีรีส์ Bit.Trip ที่สร้างชื่อมาตั้งแต่ภาคแรก ความพิเศษของภาคนี้คือการยกระดับทั้งงานภาพ การออกแบบฉาก และระบบเกมเพลย์ที่เต็มไปด้วยลูกเล่นใหม่
โดยผู้เล่นไม่ได้แค่วิ่งให้ตรงจังหวะ แต่ยังต้องเลือกเส้นทางเจอบอส และทดสอบการตัดสินใจในวินาทีเดียวกัน ตัวเกมเปิดตัวพร้อมเสียงตอบรับที่บอกว่า เป็นภาคต่อที่กล้าลองของแปลก ไม่เดินซ้ำรอยเดิม และกลายเป็นอีกหนึ่งเกมที่แฟน Rhythm Platformer พูดถึงจนถึงวันนี้ (21 เมษายน 2020) [1]
หากถามถึงเสน่ห์ของ Runner 3 คงอยู่ตรงที่มันไม่ได้ให้เราควบคุมตัวละครแบบแพลตฟอร์มเมอร์ทั่วไป แต่ทุกการเคลื่อนไหวถูกผูกกับดนตรี จังหวะเพลงกลายเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะผ่านได้หรือพลาด (22 พฤษภาคม 2018) [2] และนี่คือองค์ประกอบ ที่ทำให้เกมเพลย์สนุกกว่าที่คิด
แม้ เกมRunner3 จะถูกออกแบบมาให้ใครก็เล่นได้ แต่ความจริงแล้วเกมซ่อนระดับความโหดไว้เต็มขั้น ทั้งจากเส้นทางที่ยากขึ้นตามการเลือกของผู้เล่น ไปจนถึงเลเวลที่ยาวและต้องใช้ความแม่นยำสูง ใครที่อยากสัมผัสแค่ความเพลินก็มีโหมดง่ายให้เลือก
แต่ถ้าอยากท้าทายจนหัวร้อน ตัวเกมก็มีด่านและบอสที่พร้อมกดดันทุกจังหวะ ถือเป็นจุดที่ทำให้เกมนี้ยืนระหว่าง เกมอินดี้น่ารัก และ บททดสอบความอดทน ได้อย่างพอดี (21 พฤษภาคม 2018) [3]
จุดเด่นของ Runner 3
ข้อควรรู้ก่อนซื้อ
รีวิวจากสื่อเกม
เสียงผู้เล่นจริง
สำหรับ GameRunner3 ไม่ได้มีดีแค่ความท้าทาย แต่มันยังใช้ดนตรีเป็นหัวใจจริง ๆ ของเกม ทุกจังหวะการกดคือเสียงที่เติมเข้าไปในเพลง และในปี 2025 แม้จะผ่านมาหลายปี เกมนี้ก็ยังถูกพูดถึงในฐานะ Rhythm Platformer ที่มีสไตล์เพี้ยนและแฟนเหนียวแน่นไม่เสื่อมคลาย
คำตอบคือ ในเกมRunner3 ดนตรีไม่ได้เป็นแค่ฉากหลัง แต่คือหัวใจที่กำหนดทุกจังหวะการเล่น แต่ละการกดปุ่มจะเติมโน้ตใหม่เข้าไป ทำให้ผู้เล่นเหมือนกำลังสร้างเพลงสด ๆ ระหว่างเอาตัวรอดจากกับดัก
แม้จะออกมาตั้งแต่ปี 2018 แต่ Runnerภาค3 ยังมีเสน่ห์ที่หาได้ยากในเกมแนวนี้ พร้อมทั้งความยากที่ท้าทาย บวกกับสไตล์ภาพและเพลงที่ไม่ซ้ำใคร คล้ายกับเกม Ghostrunner ทำให้มันยังคงเป็นเกมที่แฟนสายอินดี้หยิบกลับมาเล่นซ้ำได้เสมอ