
Kickboxing คือ กีฬาการต่อสู้แบบยืน ที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง?
- หัวใจสีเขียว
- 15 views

Kickboxing คือ กีฬาการต่อสู้แบบยืน ที่จะเน้นการโจมตีคู่ต่อสู้ โดยการใช้มือในการชก และใช้เท้าในการเตะ เพราะในการแข่งขันกีฬาชนิดนี้ จะไม่อนุญาตให้ใช้ ศอก เข่า หรือการจับล็อก เหมือนกับมวยไทย หรือ MMA การต่อสู้แบบผสม ซึ่งสิ่งสำคัญที่ผู้เข้าแข่งขัน จะต้องมีคือ ความเร็ว ความแม่นยำ และพละกำลัง
คิกบ็อกซิงเป็น เป็นกีฬาการต่อสู้ ที่มีจุดประสงค์หลัก คือ ฝึกเพื่อป้องกันตัวเอง เสริมสร้างสมรรถภาพทางร่างกาย และเพื่อการแข่งขัน คำว่า คิกบ็อกซิง ถือกำเนิดขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ ที่ผสมผสานระหว่าง มวยไทย และเทควันโด เป็นต้น (4 ตุลาคม 2025) [1]
นักสู้ชื่อดัง ในวงการกีฬาคิกบ็อกซิง ของต่างประเทศ ได้แก่ Joe Lewis นักแสดง และนักกีฬาคิกบ็อกซิงมืออาชีพ ชาวอเมริกัน ที่ได้รับชื่อเสียงมาจากการแข่งขัน ในช่วงทศวรรษที่ 1960 – 1970 อีกทั้งยังได้รับฉายาในวงการว่า มูฮัมหมัดอาลีแห่งคาราเต้
โดยมีสไตล์การต่อสู้ที่โดดเด่น คือ ความแข็งแกร่ง ความเร็ว และรูปแบบการเตะ แต่ในปัจจุบัน โจ ลูอิส ได้เสียชีวิตลงแล้ว ด้วยอาการป่วยเป็นเนื้องอกในสมองชนิดร้าย (6 ตุลาคม 2025) [2]
อาวุธหลักสำคัญ ของการแข่งขันคิกบ็อกซิง คือ หมัด และเท้า ซึ่งใช้ในการโจมตีคู่ต่อสู้อย่างแม่นยำ และรวดเร็ว หมัดมาจากพื้นฐานของ มวยสากล เช่น การชกตรง และชกด้านข้าง ส่วนการเตะจะใช้เทคนิค จากคาราเต้ หรือมวยไทย เช่น เตะต่ำ เตะสูง และเตะตัดขา
แต่จะมีการแข่งขันบางรายการ ที่มีกฎกติกาอนุญาตให้ใช้เข่าได้ แต่ส่วนใหญ่จะ ไม่อนุญาตให้ใช้ศอก หรือการจับล็อก ทำให้คิกบ็อกซิงเป็นกีฬา ที่เน้นความเร็ว ความแม่นยำ และการยืนสู้เป็นหลัก อาวุธเหล่านี้ต้องใช้ร่วมกับการเคลื่อนไหว การป้องกัน และจังหวะที่ดี เพื่อให้การต่อสู้บนเวทีมีประสิทธิภาพมากที่สุด

คิกบ็อกซิงเป็นกีฬา ที่มาพร้อมกับประโยชน์มากมายหลากหลายด้าน ยกตัวอย่างเช่น ด้านสุขภาพร่างกาย กีฬาคิกบ็อกซิงถือเป็นการออกกำลัง ที่จะช่วยเพิ่มความฟิต และเสริมสร้างความแข็งแรง ให้กับกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังเป็นทางเลือกที่ดี ในการลดน้ำหนัก
เพียงแค่ออกกำลังกายแบบคิกบ็อกซิง วันละ 1 – 2 ชม. ก็จะสามารถเผาผลาญแคลอรีได้มากถึง 1,000 แคลอรี ช่วยเพิ่มทักษะการป้องกันตัว ได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้แบบรอบด้าน เช่น การโจมตีในระยะใกล้ และระยะไกล เสริมสร้างความมั่นใจ และช่วยคลายความเครียด การออกกำลังกาย จะช่วยกระตุ้นความรู้สึกเชิงบวก ช่วยกำจัดความเครียด และทำให้คุณภาพในการนอนหลับดีมากยิ่งขึ้น (2010-2025) [3]
กฎกติกาพื้นฐานของการแข่งขัน กีฬาคิกบ็อกซิง คือ เน้นการต่อสู้แบบยืน โดยมีอาวุธหลัก คือ หมัด และเท้า ผู้แข่งขันสามารถเตะ ต่อย และใช้เข่าได้ ในบางกติกา เช่นใน K-1 แต่ห้ามใช้ศอก หรือการจับล็อก การแข่งขันแบ่งออกเป็นยก ต่อรอบ ซึ่งโดยทั่วไปจะมี 3 – 5 ยก ยกละ 2 – 3 นาที
ห้ามโจมตีที่จุดอันตราย เช่น หลังศีรษะ ขาหนีบ หรือหลังลำตัว คะแนนจะให้ตามความแม่นยำ และการควบคุมเกม ของผู้เข้าแข่งขัน ผลแพ้ – ชนะ จะตัดสินจากการน็อก, การยอมแพ้ หรือคะแนนจากกรรมการ
นอกจากความแข็งแข็งแกร่ง ทางร่างกาย และจิตใจแล้ว ความเร็ว ก็ถือเป็นหัวใจสำคัญ ในการแข่งขันคิกบ็อกซิงเช่นเดียวกัน เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้นักสู้ สามารถออกอาวุธได้ไวกว่าคู่ต่อสู้ และหลบหลีกการโจมตี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักสู้ที่มีความเร็วสูง
จะสามารถควบคุมจังหวะของเกม และสร้างความได้เปรียบ ทั้งในด้านรุก และรับ ความเร็วไม่ได้หมายถึงแค่ การเคลื่อนไหวของร่างกาย แต่รวมถึงการตัดสินใจ ที่รวดเร็วด้วย
สรุปแล้วคิกบ็อกซิง เป็นกีฬาการต่อสู้แบบยืน ที่ผสมผสานการชก จากมวยสากล และการเตะจากศิลปะการต่อสู้ แบบคาราเต้ และมวยไทย อาวุธหลัก คือ หมัด และเท้า โดยบางกติกาอาจอนุญาตให้ใช้เข่าได้ แต่ไม่ใช้ศอกหรือการจับล็อก เน้นความเร็ว ความแม่นยำ และการควบคุมจังหวะการต่อสู้ที่ดี
นักกีฬาคิกบ็อกซิงที่ดี ควรมีความแข็งแรง ความคล่องตัว และความรวดเร็ว ในการออกอาวุธ และหลบหลีกการโจมตี ต้องมีทักษะด้านเทคนิค เช่น การใช้หมัด และเตะอย่างแม่นยำ รวมถึงการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ควรมีวินัย ในการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ มีความอดทน และมีจิตใจนักสู้ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ที่กีฬาคิกบ็อกซิงได้รับความนิยม ในประเทศไทย เพราะมีความคล้ายคลึง กับมวยไทย ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ประจำชาติ ทำให้คนไทยเข้าถึงได้ง่าย อีกทั้งยังถูกนำมาใช้ในการออกกำลังกาย อย่างแพร่หลายด้วย เพราะช่วยในเรื่องของ การเผาผลาญพลังงาน เสริมสร้างความแข็งแรง และฝึกสมาธิ

