
Soccer Story ดีไหม เมื่อเกมบอลเน้นเล่าเรื่อง มากกว่าเน้นแข่ง
- Spawn
- 25 views
Soccer Story ดีไหม สำหรับคนที่เบื่อเกมบอลแบบเดิม ๆ ถ้าหากรู้สึกว่าการแข่งแบบจริงจังใน FIFA หรือ eFootball เริ่มหมดแรงบันดาลใจ บางทีเกมอินดี้เล็ก ๆ ที่ใช้ฟุตบอลเป็นเครื่องมือเล่าเรื่องแทนการทำประตู อาจให้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่แบบคาดไม่ถึง ผ่านการสำรวจโลกที่ฟุตบอลเคยถูกห้าม
เกม Soccer-Story เปิดตัวในช่วง พ.ย 2022 เกิดขึ้นหลังยุคที่เกมอินดี้หลายเกมเริ่มทดลองผสานกีฬาเข้ากับการเล่าเรื่อง เช่น Dodgeball Academia (2021) หรือ Golf Story (2017) ซึ่งล้วนเป็นแรงบันดาลใจให้สตูดิโออินดี้ Panic Barn และผู้จัดจำหน่าย No More Robots คิดที่จะพัฒนาเกมนี้
โดยเกมมาพร้อมกับ โครงสร้างแบบ RPG + Puzzle ที่ผู้เล่นใช้ลูกบอลเป็นเครื่องมือแก้ปริศนา สำรวจโลก ทำเควสต์ขำ ๆ แบบไม่ต้องมีทีม ไม่มีลีก แต่เต็มไปด้วย ตัวละครฉลาด ๆ บทสนทนาตลก และเนื้อเรื่องที่วางใจไม่ได้ว่าจะหัวเราะหรือคิด (3 ธันวาคม 2022) [1]
นอกจากนี้ เกมSoccerStory มีฟีเจอร์ local multiplayer สูงสุดถึง 4 คน และมี ประมาณจำนวนเจ้าของโมดูลบน Steam ประมาณ 3,000–27,000 ยูสเซอร์ ในตอน peak แต่ concurrent player สูงสุดไม่เกิน 101 คน (นับจากวันที่เปิดตัว) แสดงว่าเกมเป็น niche อิสระมากกว่าจะเป็น mainstream title
เกมนี้คือหนึ่งในไม่กี่เกมฟุตบอล ที่เปลี่ยนบทบาทของลูกบอลจากเครื่องมือทำประตู ไปเป็นภาษาหลักของเกมเพลย์ แทนที่จะต้องแข่งขันแบบมีทีม มีคะแนน เกมนี้ให้คุณถือบอลติดตัวไว้ตลอดเวลา และใช้มันเพื่อโต้ตอบกับโลก ในการแก้ Puzzle ที่ซ่อนอยู่ในแผนที่แบบ Open-ish World
ตัวอย่างที่ชัดคือภารกิจเล็ก ๆ ในเกม อย่างเช่น ใช้บอลไปชนตะกร้าให้ผลไม้ร่วงลงมา, ยิงบอลไปเปิดประตูเวทมนตร์ หรือแม้แต่ทำภารกิจ “เก็บขยะ” ด้วยการยิงลูกบอลให้ไปโดนถัง ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ฟุตบอล” ถูกเปลี่ยนให้เป็นกลไกสำรวจและเล่าเรื่อง มากกว่าการแข่งขัน
นอกจากนี้ยังมี ระบบท่าพิเศษ ที่ปลดล็อกระหว่างทาง เช่น “Power Shot” หรือ “Curve Ball” ที่เอาไว้แก้ Puzzle เฉพาะทาง ไม่ได้ใช้ในเกมแมตช์จริงจัง แต่กลับช่วยเปิดทางเนื้อเรื่องหรือสร้าง Character ให้ตัวละครแทน
แม้ เกมSoccerStory จะไม่ใช่เกมที่เน้นแข่งขันแบบจัดเต็ม แต่ก็ไม่ได้ตัด “แมตช์ฟุตบอล” ออกไปเลยเสียทีเดียว ตัวเกมยังมีระบบแข่งบอลอยู่เป็นช่วง ๆ ในรูปแบบ Mini-Match แบบ 5v5 ที่ใส่มาเป็นจุดพักเนื้อเรื่อง เช่น การแข่งเพื่อปลดล็อกเมืองถัดไป หรือชิงตำแหน่งกับทีมสุดฮา
อย่างไรก็ตาม ระบบแมตช์ในเกมนี้ จะเรียบง่ายมาก ไม่มีระบบฟาวล์, ไม่มีกรรมการ, ไม่มีระบบเปลี่ยนตัว เพียงแค่เตะ ยิง เข้าประตู และแย่งบอลแบบกดปุ่มสไลด์ธรรมดา จุดนี้เองที่ทำให้หลายรีวิวจากผู้เล่นบน Steam ติงว่า “เกมบอลแต่มันไม่ใช่บอลจริง ๆ” ซึ่งเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนในเวลาเดียวกัน
ที่มา: Soccer_Story Review (3 ธันวาคม 2022) [2]
SoccerStory ไม่ได้เป็นเกมที่มาพร้อมเสียงสรรเสริญถล่มทลาย แต่มันก็ไม่ใช่เกมแย่เช่นกัน จุดเด่นของมันคือความพยายามที่จะ “แตกแขนง” แนวคิดเกมฟุตบอลไปยังแนวทางใหม่ ที่ใช้การเตะบอลเป็นกลไกเล่าเรื่อง ไม่ใช่การแข่งขัน
ขณะเดียวกัน เกมก็มีจุดอ่อน และระบบบางอย่างที่ยังขาดความลึก สำหรับสายเล่นจริงจัง โดยเสียงตอบรับจากนักวิจารณ์เกมสื่อใหญ่ มักชื่นชมในความสดของ Concept แต่ก็ต้องยอมรับว่าเกมที่น่ารัก เล่นสบาย แต่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะคนที่คาดหวังฟุตบอลแบบจริงจัง (29 พฤศจิกายน 2022) [3]
บทวิจารณ์ส่วนใหญ่ถูกเผยแพร่ในช่วงปลายปี 2022 จนถึงต้นปี 2023 หลังจากเกมวางจำหน่ายไม่นาน และกลายเป็นกระแสเล็ก ๆ ในกลุ่มผู้เล่นเกมอินดี้สายเล่าเรื่อง ดังนี้
บน Metacritic (ณ ส.ค. 2025)
ในขณะเดียวกัน บน Steam เกมถูกจัดประเภทว่าเป็นเกม อินดี้ ตลก เล่นสบาย มากกว่าจะเป็นเกมแนว “Sports” แบบเต็มตัว ซึ่งตรงกับลักษณะการรีวิวที่ผู้เล่นระบุว่า มันไม่ใช่เกมบอล แต่มันใช้ฟุตบอลมาเล่าเรื่องได้ฉลาด
ข้อดี
ข้อเสีย
เกมฟุตบอลในตลาดปัจจุบันแบ่งออกเป็น “สายจริงจัง” กับ “สายตีความ” ซึ่งเกมนี้คือหนึ่งในกลุ่มหลังที่เลือกจะไม่เดินตามลูปเดิมของการแข่งแพ้ชนะ แต่หันมาเล่าเรื่องผ่านบอลแทน ในขณะที่เกมอย่าง FIFA หรือ Rematch ที่ยังคงยึดกลยุทธ์, กฎกีฬา และทักษะควบคุมเป็นหัวใจหลัก โดยจะแตกต่างกัน ดังนี้
เกมฟุตบอลที่เน้น “ระบบเล่าเรื่อง”
เกมฟุตบอลที่เน้น “ระบบการแข่งขัน”
เกมที่ตั้งคำถามกับสูตรสำเร็จของเกมกีฬาได้อย่างกล้าหาญ มันไม่พยายามเป็นอีกหนึ่งเกมแข่งบอล แต่กลับเลือกใช้ฟุตบอลเป็นภาษาหลักของการเล่าเรื่อง ด้วยความเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยลูกเล่นสร้างสรรค์ นี่อาจไม่ใช่เกมที่ทุกคนจะรักทันที เพราะมันไม่พยายามเป็นเหมือนใคร และนั่นแหละคือเสน่ห์ของมัน
เกมที่เหมาะกับคนที่เบื่อความจริงจังของเกมกีฬาแบบเดิม ๆ แล้วอยากลองอะไรที่เบากว่า ขำกว่า แต่ยังมีกลิ่นอายของฟุตบอลอยู่ คนที่รักเกมอินดี้ สายเนื้อเรื่อง และอยากเห็นเกมใช้กีฬาเป็นภาษาการเล่าเรื่อง จะสนุกกับเกมนี้ได้ไม่ยาก ในทางตรงกันข้าม
แต่ถ้าคุณคือสายวัดฝีมือ แข่งแรงค์จริงจัง ชอบควบคุมทีมแบบละเอียดยิบ เกมนี้อาจทำให้คุณหาวระหว่างแมตช์แรกเลยก็ได้
นี่ไม่ใช่เกมที่ออกแบบมาให้เล่นยาวแบบติดลูป แต่มันให้ประสบการณ์สั้น ๆ ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันและความครีเอทีฟ มันคือเกมที่เล่นจบได้ในไม่กี่วัน แต่ทิ้งรสชาติไว้ในหัวใจนานกว่าที่คิด
ทำให้เกมนี้ จึงเหมาะกับการหยิบมาเล่นช่วงพักเบรกจากเกมใหญ่ หรือแบ่งเล่นเป็นบท ๆ เหมือนอ่านนิยายภาพดี ๆ สักเล่มหนึ่ง ขำบ้าง อมยิ้มบ้าง และบางจังหวะก็แอบตั้งคำถามกับโลกฟุตบอลในแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อน