
Wrestledunk Sports น่าเล่นมั้ย สำรวจเกมกีฬาฮาป่วน ก่อนกดซื้อ
- Spawn
- 12 views
Wrestledunk Sports น่าเล่นมั้ย สำหรับเกมกีฬา ที่เป็นสนามประลองความฮา ให้ได้มาปะทะความหัวร้อน เกมที่หยิบกีฬาสี่อย่างมายำรวมกันจนกลายเป็นปาร์ตี้สุดวุ่น ที่เล่นแล้วอาจหัวเราะจนน้ำตาไหล หรือเผลอโยนจอยทิ้งไปข้างห้องก็ได้ บทความที่จะพาไปส่องทุกมุมมองของเกมนี้ ก่อนคุณจะกดซื้อ
สำหรับเกม Wrestledunk Sports เป็นเกม sports party อินดี้ ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 20 ส.ค 2021 บน Steam และ Nintendo Switch โดยทีมพัฒนา Team Fractal Alligator โดยหักลำจากเกมแนว hacking มาลุยสายกีฬาฮาป่วนแทน เกมใช้ Unity Engine และยังได้รับการอัปเดตต่อเนื่องจนถึงปี 2025
ซึ่งเกมนี้ยัดกีฬาไว้ 4 แบบในแพ็กเดียว (Wrestling, Volleyball, Fencing และ Smashball) ที่น่าสนใจคือ dev ไม่ได้ทำให้ทุกกีฬาดู งง เหมือนกันหมด แต่ให้บุคลิกชัด มีเอกลักษณ์ในการเล่นแต่ละแบบ แต่ละสไตล์ที่ชัดเจน (27 กันยายน 2019) [1]
โดยความแตกต่างที่ทำให้ตัวเกมโดดเด่น คือประสบการณ์เวลาเล่นจริง ที่การเล่นปาร์ตี้ จะเต็มไปด้วยเสียงดัง ฮาจนน้ำตาเล็ด ต้องยอมรับว่าผลลัพธ์นี้ สะท้อนแนวคิดของ dev ที่อยากให้เกมเล่นง่ายแต่มี tactical depth ที่สามารถทำคนหัวเราะได้ หรือจริงจังแบบ e-sport ย่อม ๆ ได้ในเกมเดียว
หนึ่งในจุดที่คนเห็นแล้วจำได้ทันทีคือ ตัวละครในเกมนี้เป็น “สี่เหลี่ยมเดินได้” ไม่ใช่มนุษย์สมจริง Dev อย่าง Matt Trobbiani เลือกดีไซน์แบบนี้เพราะอยากให้ hitbox ชัดเจน เล่นแล้วเข้าใจทันทีว่าโดนตรงไหน ตีโดนไม่โดน ไม่มีความเดาแบบไฟต์ติ้งเกมอื่น ๆ ซึ่งทำให้เกมอ่านง่ายแต่แข่งได้จริงจัง
แม้ปุ่มกดแค่ไม่กี่ปุ่ม แต่ระบบลึกกว่าที่คิด ทำให้ผู้เล่นสามารถสร้างกลยุทธ์เฉพาะตัวได้ทั้งใน Wrestling, Fencing ไปจนถึง Smashball นี่คือความมินิมอลที่มี tactical depth”ซึ่งเป็นสูตรลับที่ทำให้เกมนี้ทั้งเข้าถึงง่าย และมีสกิลซีลลิ่งให้ฝึก
จากรีวิวจาก GamesHub เคยเขียนว่าเกมนี้ “หัวเราะจนน้ำตาไหล” เมื่อเล่นกันเต็มจอ 4–8 คน เพราะ chaos บนหน้าจอจะทำให้คนที่ไม่ถนัดก็ยังมีโมเมนต์ชนะได้แบบงง ๆ แต่พอเหลือเล่นกันแค่ 2 คน บรรยากาศจะเปลี่ยนไปเป็นเกม mind game เชิงกลยุทธ์ที่เน้นอ่านจังหวะ (1 กันยายน 2021) [2]
สิ่งนี้ทำให้ เกมWrestledunkSports ไม่ใช่เกมที่สนุกแค่ขำ ๆ เพราะเบื้องหลังความฮาคือระบบที่พร้อมให้ “หัวร้อน” ได้ทุกเมื่อ จะดีดเพื่อนตกเวทีหรือโดนเพื่อน spike ใส่หน้าก็ทำให้ความรู้สึกปนกันระหว่างความสนุกกับความกวนใจ ซึ่งตรงนี้เองคือเสน่ห์หลักที่เกมอื่นเลียนแบบยาก
แม้เกมนี้จะมีระบบ rollback netcode ที่ทำให้เล่นออนไลน์ได้ไหลลื่น แต่ประสบการณ์ระหว่างเล่น Online และ Offline ต่างกันชัดเจน แบบคนละเกม เลยก็ว่าได้ ถ้าเล่น Local Multiplayer จะได้ความวุ่นวายที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เพื่อนตะโกนใส่กัน ซึ่งเป็นโมเมนต์ที่เกมตั้งใจออกแบบให้เกิดขึ้นจริง ๆ
ในทางกลับกัน เมื่อไปเล่นโหมดออนไลน์ แม้ระบบจะรองรับผู้เล่นสูงสุด 8 คน และยัง cross-play ได้ระหว่าง Steam, Switch และ Steam Deck แต่พลังงานแบบปาร์ตี้หายไปพอสมควร โดยทุกคนกดพร้อมถึงจะเริ่ม ไม่มีปุ่มออกระหว่างเล่น ทำให้ vibe ดูเป็นระเบียบเกินไป ต่างจากความวุ่นวายที่ทำให้เกมสนุก
นอกจากนี้ ถ้าเล่นออนไลน์แค่ 2 คน เกมจะกลายเป็นเหมือนเกม mind game เงียบ ๆ เน้นอ่านจังหวะมากกว่าการหัวเราะลั่นเหมือนตอนเล่นพร้อมเพื่อนหลายคนในห้อง ซึ่งแปลว่าถ้าอยากได้ฟีลเกมนี้แบบ 100% แนะนำให้ยกจอมานั่งเล่นข้างกัน แต่การเล่นออนไลน์ก็ยังสนุก เพียงแค่บรรยากาศจะต่างออกไป
ที่มา: Interview with Team Fractal Alligator – WrestledunkSports (26 ตุลาคม 2019) [3]
ข้อเด่นที่ชัดเจน
ข้อจำกัดที่เจอตามรีวิว
ก่อนจะกดซื้อ ควรรู้ว่า เกมนี้รองรับทั้ง PC และ Nintendo Switch และยัง “verified” บน Steam Deck ด้วย สิ่งที่ dev แนะนำหนักมากคือ “ใช้จอย” จะเป็น Xbox, PlayStation หรือ Switch Pro ก็ได้ เพราะคีย์บอร์ดทำให้เสียอารมณ์พอสมควร เมื่อต้องเล่นเกมกีฬาปาร์ตี้แนวนี้
สำหรับเกมกีฬาฮาป่วน ไม่ใช่เกมที่มีคอนเทนต์มหาศาลหรือโหมดซับซ้อน แต่สิ่งที่มันให้คือ ความวุ่นวายที่ตั้งใจ และความฮาที่เกิดขึ้นจริงทุกครั้งที่เพื่อนล้อมจอกันเล่น โดยสรุปแล้ว นี่คือเกมที่เหมาะกับคนที่ชอบแชร์จอ แชร์เสียงหัวเราะ มากกว่าคนที่มองหาเกมเดี่ยวจริงจัง
ถ้าคุณกำลังมองหาเกมที่เล่นแล้วฮาในทันที แต่ก็ยังมีสกิลให้พัฒนาไปเรื่อย ๆ เกมนี้ตอบโจทย์นั้นเต็ม ๆ ระบบควบคุมง่ายเพียงไม่กี่ปุ่ม แต่ลึกพอให้คนที่จริงจังซ้อมจนเทพได้ บวกกับกีฬา 4 แบบที่ให้จังหวะเกมหลากหลาย ทำให้ทุกแมตช์มีทั้ง “โมเมนต์ขำกลิ้ง” และ “ช็อตโชว์ฝีมือ” อยู่ในเกมเดียว
คำตอบตามตรงคือ ควรคิดดี ๆ เพราะ GameWrestledunk-Sports ออกแบบมาเพื่อให้หลายคนเล่นพร้อมกันและแชร์พลังงานกันตรงหน้า ถ้าเล่นคนเดียว แม้จะมี AI ช่วยเติมทีม แต่ความรู้สึก chaos และเสียงหัวเราะจะหายไปเยอะ และถ้าคุณไม่อินกับการแข่งขันแบบแหย่กันไปมา
ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่า เกมนี้อาจไม่ดึงดูดพอ ที่จะทำให้หยิบมาเล่นบ่อย ๆ สั้น ๆ คือ เกมนี้เกิดมาเพื่อเพื่อนฝูงมากกว่าจะเล่นเงียบ ๆ คนเดียว ซึ่งเป็นฟีลเดียวกันกับเกม Looney Tunes